คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1505/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การรับรองบุตรนอกกฎหมายจะต้องกระทำโดยบุคคลผู้เป็นบิดาเมื่อผู้ตายซึ่งเป็นบิดาไม่ได้ให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่ผู้คัดค้านหรือมอบหมายให้ผู้ใดอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่ผู้คัดค้านแทน จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ตายได้รับรองว่าผู้คัดค้านเป็นบุตรของตนโดยพฤตินัย ผู้คัดค้านจึงไม่เป็นทายาทที่มีสิทธิในมรดกของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 กำหนดให้ศาลต้องสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่แม้จะให้เป็นพับกันไปก็ตาม เมื่อศาลชั้นต้นมิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมและศาลอุทธรณ์ก็มิได้สั่งแก้ไขในเรื่องนี้ศาลฎีกาย่อมเห็นสมควรแก้ไขได้

ย่อยาว

ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องทั้งสองเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายกมล เอื้อวิทยา ซึ่งได้ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2532 โดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้และมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดก ขอให้มีคำสั่งตั้งผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายโดยการรับรองของผู้ตาย ผู้ร้องทั้งสองมีเจตนาปิดบังทรัพย์มรดกเป็นของตนเอง หากตั้งผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกจะเกิดความเสียหายแก่ทายาทอื่น ขอให้มีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้องทั้งสอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้ร้องทั้งสองร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนายกมล เอื้อวิทยา ผู้ตาย ให้ยกคำคัดค้าน
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายกมลผู้ตายเป็นบุตรของนายใช้และนางถนอมผู้ตายมีภริยาหลายคน นางประทุมเป็นภริยาที่ได้จดทะเบียนสมรสกับผู้ตาย ผู้ร้องที่ 1 เป็นบุตรของผู้ตายซึ่งเกิดจากนางสว่างผู้ร้องที่ 2 เป็นบุตรของผู้ตายซึ่งเกิดจากนางประทุม ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2532 โดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ผู้ตายมีทรัพย์มรดกที่จะต้องจัดการ และมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดกจึงต้องตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตาย คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นทายาทมีสิทธิในมรดกของผู้ตายหรือไม่…เห็นว่า ผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นทายาทโดยเป็นบุตรของผู้ตายซึ่งเกิดจากนางน้อมที่อ้างว่าเป็นภริยาของผู้ตายเป็นการอ้างว่าเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 การรับรองว่าเป็นบุตรดังกล่าวจะต้องกระทำโดยบุคคลผู้เป็นบิดา พยานผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ตายต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันว่าผู้คัดค้านไม่ใช่บุตรของผู้ตาย ผู้ตายไม่เคยอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่ผู้คัดค้าน นางรวีวรรณน้องของผู้ตายพยานผู้ร้องทั้งสองก็เบิกความยืนยันว่า นางรวิวรรณเป็นผู้อนุญาตให้ผู้คัดค้านใช้นามสกุลเอื้อวิทยา นางรวีวรรณเป็นผู้ให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่ผู้คัดค้านที่ผู้คัดค้านฎีกาว่าผู้ตายมอบเงินให้นางถนอมเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูนางน้อมและผู้คัดค้าน และนางถนอมลงลายมือชื่อเป็นผู้แจ้งเกิดผู้คัดค้านว่าผู้ตายเป็นบิดาของผู้คัดค้านโดยผู้ตายให้ความยินยอมนั้นก็ไม่มีหลักฐานสนับสนุนประกอบกับผู้คัดค้านเบิกความตอบคำถามค้านของทนายผู้ร้องว่านางรวีวรรณส่งเสียให้ผู้คัดค้านเรียนหนังสือ ผู้ตายไม่เคยพาผู้คัดค้านไปไหนมาไหนด้วย ผู้คัดค้านไม่เคยมีภาพถ่ายที่ถ่ายร่วมกับผู้ตาย ความจริงแล้วนางน้อมไม่เคยพักอาศัยอยู่ในบ้านของผู้ตายผู้ตายไม่เคยยกทรัพย์สินให้ผู้คัดค้าน และเบิกความตอบคำถามทนายผู้ร้องตามที่ขออนุญาตศาลถามว่า ที่นางรวีวรรณยกที่ดินให้ผู้คัดค้านนั้นผู้ตายไม่ทราบเรื่อง ดังนี้ กรณียังไม่ได้ความว่าผู้ตายให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่ผู้คัดค้านหรือมอบหมายให้นางถนอมอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่ผู้คัดค้านแทนพยานหลักฐานของผู้ร้องทั้งสองมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของผู้คัดค้าน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ตายมิได้รับรองว่าผู้คัดค้านเป็นบุตรของตนโดยพฤตินัย ผู้คัดค้านจึงไม่เป็นทายาทมีสิทธิในมรดกของผู้ตาย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้โดยละเอียดและพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161กำหนดให้ศาลต้องสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่ แม้จะให้เป็นพับกันไปก็ตาม แต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ก็มิได้สั่งแก้ไขในเรื่องนี้จึงเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข”
พิพากษายืน

Share