คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การริบทรัพย์สินในความผิดฐานขนย้ายข้าวออกนอกเขตกำหนดซึ่งไม่ใช่ไปทางทะเลหรือออกนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าวนั้น ต้องใช้บทบัญญัติเกี่ยวกับการริบทรัพย์สินโดยทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับ เพราะมิได้มีข้อความระบุให้ริบทรัพย์สินนั้นได้ในกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดดังกล่าว
ผู้ร้องซื้อข้าวสารของกลางจำนวน 70 กระสอบจากผู้ขาย แม้ผู้ร้องจะยังไม่ได้ชำระราคาข้าวสารนี้ก็ตาม แต่ทางผู้ขายก็ได้ว่าจ้างให้ ย. เอารถยนต์บรรทุกไปส่งให้แก่ผู้ร้อง และดำเนินการขออนุญาตขนข้าวสารรายนี้ข้ามเขตในนามของผู้ร้องดังนี้ ขณะที่ขนข้าวสารดังกล่าวไปส่งให้ผู้ร้อง ข้าวสารนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแล้ว

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว ฯลฯ ลงโทษจำคุกจำเลย ริบข้าวสารของกลาง จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุกและปรับ โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุด

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนข้าวสารของกลางที่ศาลชั้นต้นสั่งริบ

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว ยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้คืนข้าวสารของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บทบัญญัติมาตรา 13 ทวิ (2) แห่งพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2489 มาตรา 6บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องริบทรัพย์สินว่า “ถ้าเป็นการขนย้ายข้าวออกนอกเขตซึ่งคณะกรรมการประกาศกำหนดในกรณีอื่น (ซึ่งมิใช่ไปทางทะเลหรือออกนอกราชอาณาจักร) มีความผิดต้องระวางโทษกับให้ริบข้าวรวมทั้งสิ่งบรรจุและพาหนะใด ๆ ที่ใช้ในการบรรทุกข้าวนั้นเสีย” มิได้บัญญัติมีข้อความระบุถึงกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ฉะนั้น จะตีความว่าบทบัญญัติให้ริบทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมีความมุ่งหมายให้ริบทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดหาได้ไม่ ดังนั้น จึงต้องใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องริบทรัพย์สินโดยทั่วไปมาใช้บังคับแก่คดีนี้ เช่นนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการกระทำผิดของจำเลย ผู้ร้องย่อมมีสิทธิร้องขอคืนข้าวสารของกลางที่ศาลสั่งริบได้

โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า กรรมสิทธิ์ในข้าวสารของกลางยังมิได้โอนเป็นของผู้ร้อง เนื่องจากผู้ร้องยังไม่ได้ชำระราคา ผู้ร้องจึงไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง ไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลสั่งคืนข้าวสารของกลางได้นั้น เห็นว่า ผู้ร้องได้สั่งซื้อข้าวสารของกลางจำนวน 70 กระสอบจากห้างหุ้นส่วนจำกัดตั้งกิ้มฮงตรังในราคา 30,000 บาทเศษทางผู้ขายได้ว่าจ้างให้นายยี่เอารถยนต์บรรทุกไปส่งให้แก่ผู้ร้อง และดำเนินการขออนุญาตขนย้ายข้าวสารรายนี้ข้ามเขตในนามของผู้ร้องเป็นผู้ขออนุญาตตามขั้นตอนแล้วแสดงว่าขณะที่ขนย้ายข้าวสารรายนี้ไปส่งให้แก่ผู้ร้องนั้น ข้าวสารดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามหนังสืออนุญาตให้ขนย้ายข้าวออกนอกเขตที่คณะกรรมการกำหนด เช่นนี้ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อันแท้จริงซึ่งข้าวสารที่ขนย้ายแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 460 วรรคแรก

พิพากษายืน

Share