แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยนำรถยนต์นั่งที่เปลี่ยนตัวถังใหม่แล้วทั้งคันเข้ามาในราชอาณาจักร เมื่อพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 32 บัญญัติให้ริบทั้งสิ่งของที่นำข้ามา และยานพาหนะที่ใช้ในการขนย้ายนั้นด้วยการที่จำเลยใช้อุบายประกอบตัวถังเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรถแล้วนำเข้ามาโดยหลีกเลี่ยงไม่เสียภาษีศุลกากรสำหรับตัวถังรถที่เปลี่ยนใหม่โดยเจตนาฉ้อค่าภาษีของรัฐบาล จึงเป็นของอันต้องริบทั้งตัวถังรถยนต์และตัวรถอันเป็นยานพาหนะขนย้ายนั้นด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากรด่านศุลกากรเบตงให้นำรถยนต์นั่งหมายเลขทะเบียน ย.ล.๐๑๓๙๗ ของจำเลยที่ ๑ ไปเปลี่ยนบังโคลนหน้าด้านขวาและพ่นสีรถใหม่ทั้งคันในประเทศมาเลเซีย จำเลยที่ ๑ ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปซื้อเปลี่ยนตัวถังใหม่ทั้งคันในประเทศมาเลเซียผิดไปจากที่ได้รับอนุญาต แล้วจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ร่วมกันนำรถยนต์นั่งที่เปลี่ยนใช้ตัวถังใหม่ทั้งคันดังกล่าวจากประเทศมาเลเซียเข้ามาในราชอาณาจักรไทยเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๐ และแจ้งขอเสียภาษีศุลกากรต่อพนักงานศุลกากรด่านพรมแดนเบตง เฉพาะบังโคลนหน้าด้านขวากับการพ่นสี โดยจำเลยทั้งสองเจตนาหลีกเลี่ยงฉ้อค่าภาษีศุลกากรตัวถังรถยนต์ราคา ๘,๗๒๒ บาท ซึ่งจะต้องเสียภาษีศุลกากรเป็นเงิน ๔,๙๙๓ บาท รวมราคาของและค่าอากรเป็นเงิน ๑๓,๓๑๕ บาท มีผู้แจ้งความนำจับและเจ้าพนักงานศุลกากรประจำด่านเบตงจับจำเลยที่ ๒ ได้พร้อมด้วยตัวถังรถยนต์ที่นำเข้ามาพร้อมกับตัวรถยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะบรรทุกขนย้ายตัวถังรถยนต์เป็นของกลาง เหตุเกิดที่ตำบลเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.๒๔๖๙ มาตรา ๒๗; (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๙ (ที่ถูกเป็นมาตรา ๖) ; (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓ ให้ปรับจำเลยทั้งสองรวมกันเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งรวมทั้งค่าอากรขาเข้าด้วย เป็นเงิน ๕๓,๒๖๐ บาท มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ลดโทษกึ่งหนึ่งคงปรับจำเลยทั้งสอง ๒๖,๖๓๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙, ๓๐ ถ้าจะต้องกักขังแทนค่าปรับ ให้กักขัง ๑ ปี ๒ เดือน โดยให้กักขังคนละ ๗ เดือนของกลางริบให้จ่ายเงินรางวัลและเงินสินบนนำจับแก่ผู้จับและผู้นำจับ ตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. ๒๔๘๙ มาตรา ๗, ๘
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ขอให้ริบเฉพาะตัวถังรถยนต์ ของให้สั่งคืนตัวรถยนต์นั่งของกลางเป็นเพียงว่าจำเลยแจ้งเรื่องการซ่อมรถไม่หมดสิ้น จำเลยซ่อมรถผิดไปจากรายการที่ขออนุญาตไว้และไม่ได้แจ้งเพื่อขอชำระภาษีอากรให้ครบบริบูรณ์เท่านั้น ข้อเท็จจริงไม่พอที่จะให้สันนิษฐานได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะแยกตัวถังออกจากตัวรถยนต์ ตัวถังรถคงประกอบสนิทเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรถยนต์ของกลาง จะฟังว่าจำเลยใช้ส่วนที่เรียกว่ารถยนต์เป็นยานพาหนะบรรทุกขนย้ายส่วนที่เรียกว่าตัวถังรถยนต์หาได้ไม่จึงเป็นการ เสียภาษีรถยนต์ที่ได้รับอนุญาตให้นำไปซ่อมได้โดยไม่ครบบริบูรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่าให้คืนรถยนต์ของกลางแก่จำเลยที่ ๑ ไปนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้นำรถยนต์นั่งที่เปลี่ยนตัวถังใหม่แล้วทั้งคันจากประเทศมาเลเซียเข้ามาในราช อาณาจักรไทย โดยเจตนาหลีกเลี่ยงไม่เสียภาษีศุลกากรสำหรับตัวถังที่เปลี่ยนใหม่ มิใช่เพียงแต่จำเลยแจ้งเรื่องการซ่อมรถไม่หมดสิ้นผิดไปจากรายการที่ขออนุญาตไว้เพื่อขอชำระภาษีศุลกากรให้ครบบริบูรณ์ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๓๒ บัญญัติให้ริบทั้งสิ่งของที่นำเข้ามาและยานพาหนะที่ใช้ในการขนย้ายนั้นด้วย การที่จำเลยใช้อุบายประกอบตัวถังเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรถแล้วนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยหลีกเลี่ยงการ เสียภาษีศุลกากร โดยเจตนาฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลจึงเป็นของอันต้องริบทั้งตัวถังรถยนต์และตัวรถอันเป็นยานพาหนะขนย้ายนั้นด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้คืนรถยนต์ของกลางแก่จำเลยที่ ๑ ไปจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น