คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 150/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยในระหว่างใช้พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2489 และโจทก์มาฟ้องคดีก่อนใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 คดีจึงตกอยู่ในบังคับมาตรา 4 แห่ง พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 ต้องใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้บังคับ
การที่จะวินิจฉัยว่าเป็น’เคหะ’ตามความหมายใน พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีในเวลาทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่นๆ รวมกันว่า การเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่ การที่ผู้เช่าอยู่ในที่เช่าจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่อยู่ในฐานะอย่างใด (อ้างฎีกาที่ 1099,1147/2491)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าโดยอ้างว่าจำเลยเช่าทำการค้าเป็นส่วนใหญ่ โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้วจำเลยไม่ยอมออก จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยได้รับความคุ้มครองจาก พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2486 ชั้นพิจารณาคู่ความรับกันว่าการเช่ารายนี้จำเลยเช่าอยู่เพื่อการค้าเป็นส่วนใหญ่ จำเลยได้อาศัยอยู่ในที่เช่าด้วย

ศาลแพ่งสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการเช่ารายนี้โจทก์บอกกล่าวให้เลิกสัญญาเช่ากับจำเลยในระหว่างใช้พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า 2489 และโจทก์ฟ้องคดีนี้ก่อนใช้พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 จึงเป็นอันว่าคดีนี้ตกอยู่ในบังคับมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 ซึ่งให้ใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้บังคับฉะนั้นการพิจารณาว่า เคหะรายนี้จะอยู่ในความควบคุมตามพระราชบัญญัติหรือไม่จึงต้องพิจารณาคำว่า “เคหะ” ตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 ซึ่งจะต้องวินิจฉัยถึงเจตนาของคู่กรณีในเวลาทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่น ๆ รวมกันว่า การเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้นเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่ การที่ผู้เช่าอยู่ในที่เช่านั้น จะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่นั้นอยู่ในฐานะอย่างใด คดีนี้ศาลแพ่ง งดสืบพยานเสีย คดีสมควรให้คู่ความนำสืบกันต่อไป

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณา แล้วพิพากษาใหม่

Share