แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับคดีหมายเลขแดงที่1123/2534ที่จำเลยทั้งสองคดีนี้ฟ้องให้ขับไล่โจทก์เป็นจำเลยในคดีหลังมีประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสองเมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือเป็นของจำเลยทั้งสองคดีนี้ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144แม้ว่าโจทก์จะได้ฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1123/2534ของศาลชั้นต้นก็ตามแต่เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดคดีแล้วกรณีก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 24 พร้อมบ้านซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวและที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 1030 โดยได้รับการยกให้จากนางทอง จำเลยทั้งสองได้ไปทำการโอนที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1030เนื้อที่ทั้งหมด 20 ไร่ เป็นของจำเลยทั้งสอง แล้วต่อมาจำเลยทั้งสองได้แย่งการครอบครองที่ดินดังกล่าวทางด้านทิศเหนือของโจทก์โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองออกไปและให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 24 และที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 1030 เนื้อที่ 10 ไร่ เป็นของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองไปทำการแบ่งแยกที่ดิน ตาม น.ส.3 ก. หากจำเลยทั้งสองไม่ไปให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ให้การว่า นางทองไม่ได้ยกที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ แต่ที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางทอง หลังจากนางทองถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสองได้อนุญาตให้โจทก์อยู่อาศัยในบ้านและที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 24 ส่วนที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 1030 จำเลยทั้งสองเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์มาตลอดโจทก์ไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลย ที่ 2 ขาดนัด ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หลังจากโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้แล้ว คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ได้ถูกจำเลยทั้งสองฟ้องให้ขับไล่ออกจากที่ดินพิพาทรายเดียวกัน โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยคดีดังกล่าวให้การต่อสู้โดยอ้างเหตุอย่างเดียวกับข้ออ้างตามคำบรรยายฟ้องของตนในคดีนี้ ต่อมาคดีที่จำเลยทั้งสองฟ้องขับไล่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 675/2534 หมายเลขแดงที่ 1123/2534ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับคดีที่จำเลยทั้งสองคดีนี้ฟ้องให้ขับไล่โจทก์เป็นจำเลยในคดีหลัง มีประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือเป็นของจำเลยทั้งสองคดีนี้ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้ว่าโจทก์จะได้ฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1123/2534 ของศาลชั้นต้นก็ตามแต่เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดคดีแล้ว กรณีก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน เหตุนี้ศาลจึงไม่อาจหยิบยกพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมาขึ้นวินิจฉัยได้
พิพากษายืน