คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับ อ.ร่วมกันเปิดศูนย์ภาษาขึ้นที่ตึกแถวของจำเลยโดยตกลงกันว่าโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการทั้งหมด และจะจ่ายผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทนให้แก่จำเลยในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างที่ได้รับ โจทก์ได้ซื้อทรัพย์พิพาทมาจากบุคคลภายนอก เพื่อใช้ในการประกอบกิจการของศูนย์ภาษาในตึกแถวดังกล่าวโดยไม่มีหนี้อันเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทนั้นแต่อย่างใด ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ และค่าผลประโยชน์ที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยอยู่ เป็นหนี้ที่เกิดจากการดำเนินกิจการของศูนย์ภาษา หาใช่เป็นหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทซึ่งจำเลยครองอยู่ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์พิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายอาภรณ์ พฤกษะศรี ร่วมกันเช่าตึกแถวของจำเลยเปิดเป็นศูนย์ภาษา โจทก์เป็นผู้ลงทุนด้วยเงิน นายอาภรณ์ลงทุนด้วยแรง โดยให้ค่าตอบแทน (ค่าเช่า)แก่จำเลยร้อยละ ๓๐ ของยอดรายรับไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท หากเกินให้ร้อยละ ๒๐ ของส่วนที่เกินตกลงคิดค่าตอบแทนกันเดือนละครั้ง โจทก์ได้ซื้อทรัพย์เพื่อใช้ในกิจการของศูนย์ภาษาดังกล่าวเป็นเงิน๑๙,๙๑๕ บาท ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง ต่อมาจำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าไปดูแลและบริหารศูนย์ภาษาของโจทก์ โจทก์จึงย้ายไปเปิดศูนย์ภาษาในตึกแถวแห่งใหม่ และขนย้ายทรัพย์ของโจทก์ตามบัญชีทรัพย์ดังกล่าวออกจากตึกแถวของจำเลยไปเก็บไว้ที่ตึกแถวที่โจทก์เช่าแห่งใหม่ จำเลยกลั่นแกล้งโจทก์โดยแจ้งความว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของจำเลยและโจทก์ลักทรัพย์ดังกล่าวไป พนักงานสอบสวนจับกุมโจทก์และมีคำสั่งให้โจทก์ขนทรัพย์ดังกล่าวกลับคืนมาไว้ที่ตึกแถวของจำเลยเพื่อเก็บรักษาไว้ในระหว่างสอบสวน หลังจากพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์ข้อหาลักทรัพย์ โจทก์จึงไปขอรับทรัพย์ดังกล่าวคืนจากจำเลย แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ ขอให้บังคับจำเลยคืนทรัพย์ทั้งหมดแก่โจทก์ตามสภาพเดิมหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน ๑๙,๙๑๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ทรัพย์ตามฟ้องไม่ใช่ของโจทก์ จำเลยกับนายอาภรณ์ได้ร่วมกันเปิดศูนย์ภาษาที่ตึกแถวของจำเลย โดยนายอาภรณ์เป็นผู้จัดหาครูมาสอน และบริหารด้วยค่าใช้จ่ายของตนเอง หากมีรายได้จำเลยจะได้รับส่วนแบ่งอัตราร้อยละ ๓๐ ของจำนวนเงินที่ได้รับก่อนหักค่าใช้จ่าย นายอาภรณ์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องและจ้างโจทก์มาดำเนินการที่ตึกแถวของจำเลย เริ่มแรกได้รับค่าเล่าเรียน ๑๑,๗๐๐ บาท โจทก์เอาเงินดังกล่าวไปและไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจการดังกล่าวอีกเลย ต่อมานายอาภรณ์ไม่สนใจดำเนินการต่อไป จำเลยจึงเข้าดำเนินการแทนและได้ทดรองออกค่าใช้จ่ายได้แก่ ค่าจ้างครูค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ รวมเป็นเงิน ๓๑,๐๐๐ บาท ซึ่งนายอาภรณ์ต้องรับผิดใช้คืนแก่จำเลย และต้องแบ่งเงินให้จำเลยตามข้อตกลงอีก ๓,๕๑๐ บาท ส่วนทรัพย์ตามฟ้องนายอาภรณ์มาขนเอาไปบางส่วนแล้วคงเหลือที่จำเลยเฉพาะทรัพย์รายการที่ ๖, ๗, ๘, ๙และ ๑๐ เท่านั้น ซึ่งจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงไว้จนกว่านายอาภรณ์มาคิดบัญชีกันเสร็จสิ้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์กับนายอาภรณ์พฤกษะศรี ได้ร่วมกันเปิดศูนย์ภาษาขึ้นที่ตึกแถวของจำเลย โดยรับสอนภาษาต่างประเทศให้แก่บุคคลทั่วไป โจทก์กับนายอาภรณ์ตกลงกับจำเลยว่า โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการทั้งหมด และจะจ่ายผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทนให้แก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของสถานที่ในอัตราร้อยละ ๓๐ ของรายได้ที่ได้รับ โจทก์ได้ซื้อเครื่องใช้ประจำสำนักงานชนิดต่าง ๆ และอุปกรณ์อื่น ๆ ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง รวมราคา ๑๙,๙๑๕ บาท เพื่อนำมาใช้ในตึกแถวดังกล่าว เห็นว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อทรัพย์พิพาทมาจากบุคคลบภายนอก เพื่อใช้ในการประกอบกิจการของศูนย์ภาษา โดยไม่มีหนี้อันเกี่ยวด้วยทรัพย์ที่พิพาทนั้นแต่อย่างใดส่วนค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ และค่าผลประโยชน์ตอบแทนจะต้องแบ่งให้จำเลยที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยอยู่นั้น ก็เป็นหนี้ที่เกิดจากการดำเนินกิจการของศูนย์ภาษา เพื่อประโยชน์ในการจัดการให้บริการแก่ลูกค้าที่มาติดต่อเท่านั้น หาใช่เป็นหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทซึ่งจำเลยครองอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๔๑ ไม่จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์พิพาทเหล่านั้นไว้ จึงต้องคืนให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของไป
พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนทรัพย์ทั้งหมดตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ตามสภาพเดิม หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา ๑๙,๙๑๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ.

Share