แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,157,91 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 จำคุกจำเลย 35 กรรม กรรมละ 5 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายน้อยลงจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษา 7.50 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ เท่ากับศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกรรมไม่เกิน 5 ปี เป็นคดีที่ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังรับฟังไม่ได้แน่ชัดว่าจำเลยกระทำความผิดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามมาตราดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้จึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,157, 91 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 2,030,363.03 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 รวม 35 กรรม วางโทษจำคุกกรรมละ 5 ปี เป็นโทษจำคุก175 ปี แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 91(3) จำคุก 50 ปี ข้อหาอื่นให้ยกให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายจำนวน 2,030.03 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 2,030,355.53 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157, 91 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 จำคุกจำเลย 35 กรรม กรรมละ5 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 2,030,363.03 บาท แก่ผู้เสียหายศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายลงจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษา 7.50 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ เท่ากับศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกรรมไม่เกิน 5 ปี เป็นคดีที่ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังรับฟังไม่ได้แน่ชัดว่าจำเลยกระทำความผิด การที่จะรับฟังเพียงว่าจำเลยไม่ได้ทำบัญชีเป็นกระทำความผิด และให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้เงิน ทั้ง ๆ ที่จำเลยไม่ได้เอาเงินของผู้เสียหายไป และความจริงเงินก็ไม่ได้ขาดหายไปนั้น จึงไม่ถูกต้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย