คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองร่วมกันชิงทรัพย์ผู้ตาย และในการชิงทรัพย์นี้จำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิง จำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันผู้ตาย แม้จำเลยทั้งสองจะกระทำไปโดยประสงค์จะชิงทรัพย์ของผู้ตายก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันจำเลยทั้งสองก็มีเจตนาฆ่าผู้ตายด้วย การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้ตาย เพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่จำเลยทั้งสองได้กระทำการชิงทรัพย์เพื่อปกปิดความผิดฐานชิงทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองได้กระทำไว้ตาม ป.อ. มาตรา 289(7)อีกบทหนึ่งด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289, 339, 340 ตรี, 83, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44ข้อ 3, 6, 7 กับขอให้ริบของกลางและให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 2,150 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่าได้ทำให้นายมูล เต๋จะแดง ถึงแก่ความตายจริง แต่เป็นการป้องกันตัวและปฏิเสธข้อหาชิงทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (7), 339 วรรคท้าย, 340 ตรี, 83, 90ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ14, 15 ลงโทษตามมาตรา 289 (7) ซึ่งเป็นบทหนักประหารชีวิตจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (7), 339วรรคท้าย, 83, 90 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 ลงโทษตามมาตรา 289 (7) ซึ่งเป็นบทหนักประหารชีวิตคำให้การของจำเลยทั้งสองชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต ริบของกลางและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินให้แก่ผู้เสียหาย 2,150 บาทคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมาให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายเพื่อประสงค์เอาทรัพย์ของผู้ตาย เป็นควาผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339,340 ตรี เท่านั้น พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคท้าย, 340 ตรี, 83 จำเลยที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคท้าย, 83 วางโทษประหารชีวิต คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (7) ด้วย ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (7) ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาเฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้ว จากพยานหลักฐานในสำนวนคดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่า วันเกิดเหตุ คือวันที่7 เมษายน 2527 นายมูล เต๋จะแดง ผู้ตาย กลับจากขายลูกสุกรเดินมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางเดินในป่าบ้านขุนแม่เทยน้อย ตำบลแม่ตื่นอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ได้ถูกจำเลยที่ 1 ใช้ปืนลูกซองยาวยิงและถูกจำเลยที่ 2 ใช้มีดอีโต้ฟันถึงแก่ความตาย หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองได้เอาเงินสดจำนวน 2,150 บาทจากตัวตายแล้วพากันหลบหนีไป จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิง และจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันผู้ตายนั้น แม้จำเลยทั้งสองจะกระทำไปโดยประสงค์จะชิงทรัพย์ของผู้ตายก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันจำเลยทั้งสองก็มีเจนาฆ่าผู้ตายด้วย การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงต้องเป็นความผิดฐานฆ่าผู้ตาย เพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่จำเลยทั้งสองได้กระทำการชิงทรัพย์ เพื่อปกปิดความผิดฐานชิงทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองได้กระทำไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (7) ตามที่โจทก์ฟ้องอีกบทหนึ่งและต้องใช้กฎหมายบทนี้ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเพียงความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคท้ายเท่านั้น และใช้กฎหมายบทนี้ลงโทษจำเลยทั้งสองมาศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”.

Share