คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายกับพวกมีเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าเป็นพวกเดียวกันร้องรำทำเพลงอันมีลักษณะเตรียมการล่วงหน้ากันมาก่อนแล้วปลูกต้นกล้วยในทางที่รู้ว่าจำเลยกับพวกจะต้องผ่านเมื่อจำเลยกับพวกขอผ่านเพื่อกลับบ้านผู้เสียหายกับพวกไม่ยอมหลีกทางให้และเข้าทำร้ายจำเลยกับพวกซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าก่อนจึงเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ทั้งอาวุธที่จำเลยกับพวกใช้ก็เป็นเพียงเครื่องใช้ปกติในการประกอบอาชีพและบาดแผลที่ผู้เสียหายกับพวกได้รับไม่ร้ายแรงมากนักถือว่าจำเลยป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุจำเลยจึงไม่มีความผิด จำเลยได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้วและยังสืบพยานไม่เสร็จได้ขอให้นำสำนวนคดีอาญาอื่นมาผูกรวมกับสำนวนโดยจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานส่วนนี้เพิ่มเติมศาลอนุญาตดังนี้สำนวนคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้แล้วศาลชอบที่จะนำคำเบิกความของพยานบุคคลในสำนวนนั้นมาฟังประกอบวินิจฉัยคดีนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา295,297,83,33ริบของกลางและนับโทษของจำเลยที่1ต่อจากโทษในคดีอื่น
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธแต่จำเลยที่1รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา295,297,83การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา297,83ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา90จำคุกคนละ6เดือนริบของกลางยกคำขอนับโทษต่อ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”ตามพฤติการณ์ต่างๆของฝ่ายผู้เสียหายตั้งแต่การทำเครื่องหมายที่ร่างกายด้วยการใช้ผ้าแดงผูกที่ศีรษะกับที่คอเพื่อให้ทราบว่าเป็นพวกเดียวกันและการพกพาอาวุธปืนอีกทั้งมีจำนวนคนถึง100คนเศษและมีการร้องรำทำเพลงอันมีลักษณะเป็นการเตรียมการล่วงหน้ากันมาก่อนซึ่งลำพังการปลูกต้นกล้วยไม่น่าจะเป็นเหตุที่จะต้องตระเตรียมกันเช่นนั้นกลุ่มผู้เสียหายกับฝ่ายจำเลยอยู่ห่างกันไม่เกิน200เมตรสภาพเป็นทุ่งนาฝ่ายผู้เสียหายย่อมมองเห็นฝ่ายจำเลยทั้งสี่กับพวกกำลังทำนากันอยู่กลับปลูกต้นกล้วยในเส้นทางที่จำเลยทั้งสี่กับพวกจะผ่านเพื่อกลับบ้านและไม่ยอมหลีกทางให้จึงทำให้ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าฝ่ายผู้เสียหายเป็นฝ่ายหาเหตุและเป็นฝ่ายเข้าตีทำร้ายร่างกายฝ่ายจำเลยทั้งสี่ก่อนเมื่อผู้เสียหายกับพวกเข้าทำร้ายก่อนโดยละเมิดต่อกฎหมายเช่นนี้จำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายอันเป็นภัยที่ใกล้จะถึงเช่นนั้นได้ทั้งฝ่ายจำเลยทั้งสี่ก็มีจำนวนคนน้อยกว่าฝ่ายผู้เสียหายประกอบกับอาวุธที่ใช้กันก็เป็นพลั่วจอบเสียมและมีดอันมีสภาพเป็นเครื่องมือสำหรับชาวนาใช้ในการทำนาซึ่งปกติมีติดตัวอยู่และบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับก็ไม่ร้ายแรงมากนักจึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่กระทำไปพอสมควรแก่เหตุจำเลยทั้งสี่จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง
ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของนาย ไพรัตน์อมรธีรเวช ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่2558-2559/2533ของศาลชั้นต้นมาเป็นพยานในคดีนี้ไม่ได้เพราะไม่มีคู่ความฝ่ายใดอ้างเป็นพยานนั้นปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่30กันยายน2534ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลยที่เหลือต่อว่าจำเลยทั้งสี่แถลงหมดพยานบุคคลคงติดใจที่จะขอให้นำสำนวนคดีอาญาดังกล่าวมาผูกรวมติดเข้ากับสำนวนคดีนี้ศาลชั้นต้นอนุญาตดังนี้เมื่อจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้วและยังสืบพยานจำเลยทั้งสี่ไม่เสร็จจำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธิต่อสู้คดีอย่างเต็มที่โดยอ้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้อีกแม้จำเลยทั้งสี่จะมิได้ระบุอ้างสำนวนคดีอาญาดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานโดยยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมไว้แต่การที่จำเลยทั้งสี่แถลงดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยทั้งสี่อย่างแจ้งชัดว่าประสงค์จะอ้างสำนวนคดีอาญานั้นทั้งสำนวนเป็นพยานหลักฐานของจำเลยในคดีนี้ด้วยเมื่อศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้นำสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่2558-2559/2533ของศาลชั้นต้นมาผูกติดกับสำนวนคดีนี้สำนวนคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้แล้วเมื่อคำเบิกความของนาย ไพรัตน์อยู่ในสำนวนคดีอาญานั้นด้วยคำเบิกความของนาย ไพรัตน์ในคดีดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ชอบที่ศาลจะนำมาฟังประกอบการวินิจฉัยคดีนี้ได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share