แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทะเบียนบ้านของจำเลยที่โจทก์อ้างเป็นพยานเอกสารนั้น เป็นเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก โจทก์จึงไม่ต้องยื่นหรือส่งสำเนาเอกสารนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(2) อย่างไรก็ดีการไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ทำให้การรับฟังพยานเอกสารเช่นว่านี้เสียไป ถ้าหากศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลก็มีอำนาจรับฟังเอกสารเช่นว่านี้เป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2)
โจทก์อ้างทะเบียนบ้านของจำเลยซึ่งเป็นสำเนา ไม่มีเจ้าหน้าที่ทะเบียนท้องถิ่นรับรอง ปรากฏว่าเอกสารนี้เป็นภาพถ่ายซึ่งถ่ายมาจากต้นฉบับซึ่งทนายโจทก์ได้เซ็นชื่อรับรองว่าเป็นสำเนาถูกต้องแล้วจำเลยก็มิได้นำสืบหักล้างว่าเอกสารนี้มีข้อความไม่ตรงกับต้นฉบับแต่อย่างใด หากจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้อง สำเนาทะเบียนบ้านที่จำเลยก็มีอยู่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ ศาลจึงรับฟังสำเนาเอกสารเช่นนี้ได้
การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 ได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นตั้งแต่อายุเพียง 14 ปีเศษ กับยอมให้จำเลยที่ 1 ซื้อรถมาขับขี่ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้ง่าย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ร่วมกับจำเลยที่ 1ผู้เยาว์ซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาทชนบุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุตรผู้เยาว์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เมื่อวันที่ 13เมษายน 2523 เวลากลางคืน จำเลยที่ 1 ได้ขับรถจักรยานยนต์ไปตามถนนสายบ่อสร้าง-ดอยสะเก็ดโดยประมาท เป็นเหตุให้ชนนายอรุณบุตรชายโจทก์ซึ่งเดินอยู่ริมถนนล้มลงได้รับบาดเจ็บสาหัสและถึงแก่ความตาย เป็นการละเมิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ซึ่งเป็นมารดาผู้ตายเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการฌาปนกิจศพ ค่าขาดไร้อุปการะ รวมทั้งสิ้น 50,760 บาท จำเลยที่ 2 ที่ 3 มิได้ใช้ความระมัดระวังในการปกครองดูแลจำเลยที่ 1 ตามสมควรเป็นเหตุให้มีการละเมิดเกิดขึ้นจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 50,760 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 อายุ 21 ปี มีภริยาแล้ว ไม่ได้อยู่ในความปกครองดูแลของจำเลยที่ 2 ที่ 3 จำเลยที่ 1 มิได้ขับรถโดยความประมาทเลินเล่อหากจำเลยที่ 1 ทำละเมิดจริง จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ไม่ต้องร่วมรับผิดด้วยเพราะได้ใช้ความระมัดระวังดูแลตามสมควรแก่หน้าที่อยู่แล้ว ค่าเสียหายไม่ถึงจำนวนที่ฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์33,760 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาข้อแรกว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังสำเนาทะเบียนบ้านจำเลยซึ่งโจทก์ส่งอ้างเป็นพยาน โดยมิได้มีเจ้าหน้าที่ทะเบียนท้องถิ่นรับรอง และโจทก์มิได้ส่งสำเนาให้จำเลยก่อนสืบพยานโจทก์ 3 วัน เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย รับฟังเป็นพยานไม่ได้ พิเคราะห์แล้วปรากฏว่า ทะเบียนบ้านเอกสารหมายจ.5 โจทก์ได้ระบุอ้างเป็นพยานไว้แล้วและได้ขอให้ศาลเรียกมาจากนายอำเภอสันกำแพงผู้ครอบครองเอกสาร แต่ศาลชั้นต้นไม่เรียกให้โดยเห็นว่าโจทก์สามารถขอตรวจและคัดสำเนาได้อยู่แล้ว โจทก์จึงได้ส่งภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านต่อศาลแทน เห็นว่าโจทก์อ้างทะเบียนบ้านเป็นเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(2) ได้บัญญัติยกเว้นให้ผู้อ้างเอกสารดังกล่าวไม่ต้องยื่นหรือส่งสำเนาเอกสารเช่นว่านั้น ที่จำเลยเถียงว่าเอกสารหมายจ.5 เป็นสำเนาไม่มีเจ้าหน้าที่ทะเบียนท้องถิ่นรับรอง ปรากฏว่าเอกสารนี้เป็นภาพถ่ายซึ่งถ่ายมาจากต้นฉบับซึ่งทนายโจทก์ได้เซ็นชื่อรับรองว่าเป็นสำเนาถูกต้องแล้ว จำเลยก็มิได้นำสืบหักล้างว่าเอกสารฉบับนี้มีข้อความไม่ตรงกับต้นฉบับแต่อย่างใด หากจำเลยเห็นว่าเอกสารหมาย จ.5 ไม่ถูกต้อง สำเนาทะเบียนบ้านที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็มีอยู่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ อย่างไรก็ดีการไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ทำให้การรับฟังพยานเอกสารเช่นว่านี้เสียไป ถ้าหากศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลก็มีอำนาจรับฟังเอกสารเช่นว่านี้เป็นพยานหลักฐานได้คดีนี้ศาลล่างทั้งสองก็ได้ใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารหมาย จ.5 เป็นพยานหลักฐานตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) ให้อำนาจไว้แล้วเอกสารหมาย จ.5 จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
ปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดหรือไม่นั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน จำเลยที่ 2ที่ 3 ได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นมาตั้งแต่จำเลยที่ 1 อายุเพียง14 ปีเศษ ๆ และปล่อยให้จำเลยที่ 1 ไปค้างคืนนอกบ้านเป็นประจำและเป็นเวลานาน ๆที่จำเลยที่ 2 ว่าได้เคยตักเตือนจำเลยที่ 1 ให้ขับขี่รถช้า ๆ ไม่มีเหตุผลน่าเชื่อ หากจำเลยที่ 2 ที่ 3 คอยตักเตือนห้ามปรามอยู่เสมอเหตุร้ายก็คงไม่เกิด การที่จำเลยที่ 2ที่ 3 ปล่อยปละละเลยถึงกับยอมให้จำเลยที่ 1 ซื้อรถมาขับขี่ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้ง่ายถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล จำเลยที่ 2ที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ร่วมกับจำเลยที่ 1 ผู้เยาว์
พิพากษายืน