คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถโดยประมาทชนกับรถที่สวนมาเป็นเหตุให้ผู้โดยสารถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยมิได้เป็นคนขับรถคันที่ชนกันนี้ ศาลพิพากษายกฟ้อง(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2507)
(หมายเหตุ)มีบันทึกท่านอาจารย์ประกอบ หุตะสิงห์ เจ้าของสำนวน(รับโอน)ความว่าท่านตรวจสำนวนแล้วตามฟ้องและที่จำเลยเถียงประเด็นคงเหลือว่าจำเลยเป็นคนขับหรือคนอื่นขับเท่านั้นซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้ขับ จึงยกฟ้องโจทก์ฎีกาว่าจำเลยขับ ประเด็นที่เสนอเป็นข้อกฎหมายเข้าประชุมใหญ่มีว่า ‘จำเลยเป็นผู้ขับรถคันที่ชนกันนี้เป็นประจำแต่ได้ปล่อยให้คนอื่นขับจนเป็นเหตุให้รถชนกันมีคนตาย จำเลยจะมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทด้วยหรือไม่’ นั้นจึงไม่มีในสำนวนท่านจึงชี้ขาดข้อเท็จจริงแต่อย่างเดียว โดยไม่ได้กล่าวถึงมติที่ประชุมใหญ่ เพราะจะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยปราศจากความระมัดระวังในภาวะเช่นนั้นจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ คือ ขณะรถสวนกัน ไม่ลดความเร็ว ไม่ใช้ไฟต่ำหรือหรี่ไฟขับเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดและล้ำออกกลางถนน จึงเกิดชนกับรถที่สวนทาง เป็นเหตุให้นายอำพรคนโดยสารรถคันที่สวนมาบาดเจ็บสาหัสและถึงตาย และคนโดยสารในรถที่จำเลยขับบาดเจ็บอีกหลายคน ขอให้ลงโทษ

จำเลยให้การปฏิเสธและว่า รถคันเกิดเหตุที่จำเลยนั่งไปเป็นของนายมานพขณะเกิดเหตุนายณรงค์บุตรนายมานพเป็นผู้ขับ และรับว่าคนขับประมาทจริง จำเลยไม่ใช่คนขับ

ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยเป็นคนขับ พิพากษาว่าจำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก ลงโทษตามมาตรา 291 ซึ่งเป็นกระทงหนัก จำคุก 2 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เชื่อว่า นายณรงค์เป็นผู้ขับ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อคำพยานโจทก์มีพิรุธและกลับเจือสมคำพยานจำเลยจึงมีน้ำหนักสู่พยานจำเลยไม่ได้ การนำสืบของจำเลยนั้นตัวจำเลยยืนยันมาตั้งแต่เกิดเหตุแล้วว่า นายณรงค์เป็นคนขับรถ ทั้งพยานจำเลยนอกนั้นก็เบิกความสอดคล้องกับคำเบิกความของตัวจำเลยและทั้งเป็นคนนอกไม่มีส่วนได้เสียร่วมกับจำเลย จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าพยานโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยมิได้เป็นคนขับรถที่ชนกันนี้ และพิพากษายกฟ้องมานั้น ชอบแล้ว พิพากษายืน

Share