แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์ฎีกาของโจทก์แล้ว เห็นว่าต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยเป็นผู้เสียหาย และเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เมื่อตีความโดยเคร่งครัดแล้วจำเลยจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่มีอำนาจร้องทุกข์ได้ การที่จำเลยร้องทุกข์โดยมีเจตนาให้โจทก์ต้องรับโทษ ย่อมถือว่าคดีของโจทก์มีมูลฟ้องจำเลยได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137,172,173 และ 174 วรรคสอง
ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่ามีข้อเท็จจริงพอที่จะวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ จึงให้งดไต่สวนมูลฟ้อง และพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 14)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 15)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 มาตรา 13 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง