แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง  แม้จะได้ทำกันไว้ก่อนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์  พ.ศ. 2518 ใช้บังคับ  ก็เป็นข้อตกลงที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว  มาตรา 160 วรรค 2
การที่นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานโดยไม่ได้กระทำความผิด  ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานลงวันที่  16  เมษายน  2515  ข้อ 46 นั้น  เป็นหน้าที่ตามกฎหมายซึ่งนายจ้างจะต้องปฏิบัติมิใช่เป็นเรื่องตกลงประนีประนอมยอมความ  และเป็นคนละกรณีกับกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้าง  ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์  พ.ศ. 2518  มาตรา 41 (4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  ช.ลูกจ้างโจทก์  ร่วมกับลูกจ้างคนอื่น ๆ เรียกร้องขอเพิ่มเงินค่าจ้าง  แต่ตกลงกันได้โดยทำบันทึกข้อตกลงกัน  เมื่อวันที่  ๒  มกราคม  ๒๕๑๘  ต่อมาวันที่  ๖  ตุลาคม  ๒๕๑๘  โจทก์ประกาศเลิกจ้างคนงานบางส่วนรวมทั้งข. เนื่องจากลักษณะของงานและความจำเป็น  โดยโจทก์ได้จ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน  ข้อ ๔๖ ให้แล้ว   วันที่  ๙  ตุลาคม  ๒๕๑๘  ช.กับพวก ๔ คนยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์กล่าวหาว่าโจทก์เลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม  คณะกรรมการพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหาย ๑๐,๔๐๐ บาทให้แก่ ช. โจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย   ข้อตกลงเมื่อวันที่  ๒  มกราคม  ๒๕๑๘  ทำขึ้นก่อนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มีอำนาจสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่ ช. ได้ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. ๒๕๑๘ ใช้บังคับ  กรณีจึงไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าว  ทั้ง ช. ได้รับเงินค่าชดเชยไปแล้วโดยมิได้โต้แย้ง  ถือว่าได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันในเรื่องค่าเสียหายเกี่ยวกับการเลิกจ้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดคำร้อง  หากมีก็วินิจฉัยไม่ถูกต้อง  ควรหักเงินที่โจทก์จ่ายเป็นค่าชดเชยออกเสียก่อน ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นโมฆะ
จำเลยทั้ง ๑๕ คนให้การว่า  โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ช. ถูกโจทก์หาเหตุปลดจากงานเพราะ ช. มีส่วนเรียกร้องข้อตกลงเพิ่มค่าจ้าง มิใช่เพราะโจทก์ใกล้จะหมดงาน  เป็นการผิดเงื่อนไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ทำกันไว้ เมื่อวันที่  ๒  มกราคม  ๒๕๑๘  ถือว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม  คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘  มาตรา ๔๑ (๔)
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ได้ ๑ ปากแล้วสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยพิพากษาว่าคำสั่งที่ ๑/๒๕๑๙  เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  แต่ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑ ที่ ๒
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำสั่งที่ ๑/๒๕๑๙  ชอบด้วยกฎหมาย  พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ ถึงจำเลยที่ ๑๕ ด้วย  นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ช.ได้ร่วมเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อโจทก์  ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์  พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๑  แม้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับลูกจ้างจะทำกันไว้ก่อนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ใช้บังคับ  ก็เป็นข้อตกลงที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา ๑๖๐ วรรค ๒  การที่โจทก์เลิกจ้าง ช. จึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามกฎหมาย  คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องของ ช. ได้  และการที่โจทก์ได้เคยจ่ายเงินให้แก่ ช. ไปแล้วนั้น  เป็นการจ่ายเงินในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานโดยไม่ได้กระทำความผิดตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน  ลงวันที่  ๑๖  เมษายน  ๒๕๑๕  ข้อ ๔๖  ซึ่งเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติตาม  มิใช่เป็นเรื่องตกลงประนีประนอมยอมความกัน  และเป็นคนละกรณีกับกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดให้นายจ้างจายค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘  มาตรา ๔๑ (๔)
จึงจะนำค่าชดเชยที่โจทก์จ่ายให้ ช. ไปแล้ว มาหักออกจากค่าเสียหายไม่ได้  คำสั่งที่ ๑/๒๕๑๙ ของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน
