คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1489/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดมีวัตถุประสงค์ค้าผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยมีจำเลยที่ 2 และนาง อ. บิดามารดาของจำเลยที่ 3เป็นหุ้นส่วนเพียงสองคน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 2ผู้ใช้อำนาจปกครองตามกฎหมายของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เยาว์อยู่ในขณะนั้นทำนิติกรรมจำนองที่ดินของจำเลยที่ 3 แทนจำเลยที่ 3บุตรผู้เยาว์ได้ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมจำนองที่ดินของจำเลยที่ 3 เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่กู้จากโจทก์เพื่อนำเงินไปลงทุนสร้างปั๊มน้ำมัน ถือได้ว่าเป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 3 โดยชอบย่อมมีผลผูกพันจำเลยที่ 3 แม้ในการทำนิติกรรมจำนองที่ดินดังกล่าวนาง อ. มารดาจำเลยที่ 3 จะได้ลงนามร่วมกับจำเลยที่ 2 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เป็นผู้จำนองที่ดินของจำเลยที่ 3 แทนจำเลยที่ 3 ได้ก็ตาม แต่นาง อ. ก็ได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองตามกฎหมายของจำเลยที่ 3 ด้วยคนหนึ่ง ทั้งสัญญาที่ นาง อ. ร่วมลงนามก็ไม่มีการกระทำนอกเหนือไปจากคำสั่งอนุญาตของศาล การกระทำของนาง อ. ดังกล่าวจึงไม่ทำให้นิติกรรมที่จำเลยที่ 2 ทำไว้ต่อโจทก์แทนจำเลยที่ 3 ต้องเสียไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและกู้เงินจากโจทก์ สาขาอุตรดิตถ์ หลายครั้งโดยมีจำเลยที่ 3เป็นผู้ค้ำประกันและได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 2792,2793 และ 2794 ตำบลป่าเช่า อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ทั้งที่มีอยู่แล้วหรือจะมีขึ้นต่อไปในภายหน้าเพื่อเป็นประกันหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีและหนี้สินประเภทอื่น ๆ ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินตามสัญญาไปจากโจทก์และได้นำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนกันหลายครั้งหลายหน เมื่อครบกำหนดตามสัญญาที่ตกลงไว้ จำเลยที่ 1 ก็มิได้จัดการชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นไปแต่อย่างใด ยังคงเบิกเงินจากบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนบัญชีต่อมาอีก ส่วนหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงินนั้น เมื่อครบกำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1ก็มิได้จัดการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 กู้เบิกเงินเกินบัญชีและกู้เงินอีกต่อไปโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสามพร้อมทั้งบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 3 โดยชอบแล้ว จำเลยทั้งสามก็มิได้จัดการชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นไปแต่อย่างใด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน7,251,010.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน6,611,702.19 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 3 ไถ่ถอนที่ดินที่จำนองโดยชำระหนี้ดังกล่าวหากจำเลยที่ 3 ไม่ชำระให้นำทรัพย์สินซึ่งจำนองของจำเลยที่ 3ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้จำเลยที่ 3 ชดใช้ส่วนที่ยังขาดอยู่จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดและสัญญากู้เงินตามฟ้องจริง หลังจากสัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกกันแล้ว จำเลยที่ 1 ได้นำเงินเข้าบัญชีชำระหนี้แก่โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 273,600 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2ขอหักหนี้จำนวน 273,600 บาท มาในคำให้การนี้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ขณะทำสัญญาค้ำประกันทั้งสามฉบับ จำเลยที่ 3 ยังเป็นผู้เยาว์ จำเลยที่ 2 และนางเอื้อมพรบิดามารดาผู้ใช้อำนาจปกครองเป็นผู้ทำนิติกรรมแทนโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลสัญญาค้ำประกันทั้งสามฉบับจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3มิได้ทำสัญญาจำนองที่ดิน สัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองที่ดิน บันทึกข้อตกลงขึ้นเงินจำนองตามฟ้องโจทก์แต่อย่างใด จำเลยที่ 2 และนางเอื้อมพรผู้ใช้อำนาจปกครองจำเลยที่ 3 เป็นผู้ทำสัญญาแทนโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3ได้ทำสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2528 จริง โดยสัญญาดังกล่าวมีความว่า เป็นการค้ำประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1ตามสัญญากู้เงินลงวันที่ 18 มกราคม 2528 เป็นจำนวนเงิน 2,000,000บาท โดยสัญญาค้ำประกันไม่มีข้อความใดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในดอกเบี้ยทบต้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นเอาแก่จำเลยที่ 3 จำเลยทั้งสามได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2528 สัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงเลิกกันและต้องหักทอนบัญชีกันในวันที่ 14 กันยายน 2528 หาใช่วันที่ 22 ธันวาคม2530 ตามฟ้องโจทก์ไม่ขอศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกัน ฉบับลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2528 ชำระหนี้โจทก์เป็นจำนวนไม่เกิน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยไม่ทบต้นนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันชำระเงินจำนวน 6,338,050.43 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดด้วยเป็นเงิน 2,000,000 บาท หากจำเลยที่ 3 ประสงค์จะไถ่ถอนจำนองให้ชำระเงินเท่าที่จำเลยที่ 1และที่ 2 ต้องรับผิดแต่ไม่เกิน 7,000,000 บาท ถ้าจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือไถ่ถอนจำนองดังกล่าวให้ยึดที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถาของศาลชั้นต้นนั้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ผู้ใช้อำนาจปกครองตามกฎหมายของจำเลยที่ 3 ซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่ในขณะนั้นทำนิติกรรมจำนองที่ดินของจำเลยที่ 3 ตามโฉนดเลขที่ 2792,2793 และ 2794 ตำบลป่าเช่า อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ แทนจำเลยที่ 3 บุตรผู้เยาว์ได้ ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 2 นำที่ดินดังกล่าวไปประกันเงินที่จำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์ซึ่งตามหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดอุตรดิตถ์ ปรากฏว่า ห้างจำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ค้าผลิตภัณฑ์น้ำมัน มีผู้เป็นหุ้นส่วนเพียง 2 คน คือจำเลยที่ 2 และนางเอื้อมพรทรงวุฒิ ซึ่งเป็นบิดาและมารดาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 จึงเป็นกิจการของจำเลยที่ 2 ที่ประกอบกิจการค้าผลิตภัณฑ์น้ำมันจำเลยที่ 3 เบิกความไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 139/2525 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะสร้างปั๊มน้ำมันจึงจำเป็นต้องจำนองที่ดิน 3 แปลง ของจำเลยที่ 3 เพื่อหาเงินมาลงทุน แม้ขณะเบิกความจำเลยที่ 3 ยังเป็นผู้เยาว์แต่มีอายุ 19 ปีแล้ว กำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยการค้าจึงน่าเชื่อว่ารู้และเข้าใจข้อเท็จจริงต่าง ๆ ได้ดี นอกจากนี้เมื่อจำเลยที่ 3 บรรลุนิติภาวะแล้วก็ยังเข้าทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้หรือเบิกเงินเกินบัญชีและทำบันทึกข้อตกลงขึ้นเงินจำนองเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์2528 ต่อโจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ด้วยตนเองอีกด้วยอันเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 3 รู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นกิจการที่จำเลยที่ 2 และนางเอื้อมพรบิดามารดาของจำเลยที่ 3 ร่วมกันประกอบธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันโดยตรง และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินกิจการของจำเลยที่ 1 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 2 ย่อมต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อยู่แล้ว ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2ทำนิติกรรมจำนองที่ดินของจำเลยที่ 3 เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 139/2525 เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 3 โดยชอบย่อมมีผลผูกพันจำเลยที่ 3 ส่วนที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าการที่ นางเอื้อมพรมารดาจำเลยที่ 3 ลงชื่อร่วมกับจำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำการแทนจำเลยที่ 3 ในหนังสือสัญญาจำนองและหนังสือสัญญาขึ้นเงินจำนองครั้งที่ 1โดยมิได้รับอนุญาตให้ทำนิติกรรมจากศาลจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 3นั้น เห็นว่า กรณีนี้จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตจากศาลให้นำที่ดินของจำเลยที่ 3 ไปจำนองแล้ว ทั้งในการจำนองที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 2 ก็ลงนามแทนจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองอยู่แล้วแม้นางเอื้อมพรมารดาจำเลยที่ 3 จะไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เป็นผู้จำนองที่ดินของจำเลยที่ 3 แทนจำเลยที่ 3 ได้ แต่นางเอื้อมพรก็เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองตามกฎหมายของจำเลยที่ 3ด้วยคนหนึ่ง ทั้งสัญญาที่ นางเอื้อมพรร่วมลงนามก็ไม่มีการกระทำนอกเหนือไปจากคำสั่งอนุญาตของศาล การกระทำของนางเอื้อมพรดังกล่าวจึงไม่ทำให้นิติกรรมที่จำเลยที่ 2 ทำไว้ต่อโจทก์แทนจำเลยที่ 3 ต้องเสียไปดังจำเลยที่ 3 กล่าวอ้าง
พิพากษายืน

Share