แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การขีดฆ่าอันมิใช่สารสำคัญในพินัยกรรม โดยไม่มีลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมกำกับ ใช้ไม่ได้เฉพาะที่ขีดฆ่า ไม่ทำให้พินัยกรรมเสียไปทั้งฉบับ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่นาและที่สวนรายพิพาท เป็นมรดกของนายตุ้น และตกทอดได้แก่โจทก์ ตามพินัยกรรมของนายตุ้นห้ามจำเลยเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยแก้ว่า เฉพาะที่สวนเป็นมรดกที่บิดาจำเลยกับพี่น้องอีกสองคนเป็นผู้รับ ส่วนที่นาเป็นของนายตุ้นกับนางเผียน ๆ เป็นอาจำเลย เจ้าของดังกล่าวแล้วไม่มีบุตรหลานอื่นนอกจากจำเลย จึงยกที่ดินที่กล่าวนี้ให้จำเลย ๆ ได้ปลูกบ้านอยู่ในที่รายนี้ปกครองต่อมาจำเลยตัดฟ้องว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ลงลายมือชื่อโจทก์ และพินัยกรรมที่โจทก์อ้างเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบ นายฟ่อง แพ่งน้อย พยานโจทก์เสร็จ1 ปาก เห็นสมควรวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ได้ จึงสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป วินิจฉัยว่าพินัยกรรมหมาย จ.1 มีรอยขีดฆ่า 4 แห่ง ผู้ทำพินัยกรรมมิได้ลงลายมือชื่อรับรองไว้ จึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1705 ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พินัยกรรมไม่ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับ ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ไปตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาสำนวนแล้ว ได้พิเคราะห์ต้นฉบับพินัยกรรมปรากฏว่ามีรอยขีดฆ่า 4 แห่ง โดยมิได้มีลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมกำกับไว้ ย่อมใช้ไม่ได้เฉพาะที่ขีดฆ่านั้น หาได้ทำให้พินัยกรรมฉบับนั้นเป็นโมฆะเสื่อมเสียไปทั้งฉบับไม่ เพราะรอยที่ขีดฆ่านั้นไม่ใช่เป็นสารสำคัญ ข้อความอื่นยังได้ความเป็นพินัยกรรมใช้ได้ดีอยู่
จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ผู้แพ้คดีที่สุดเป็นผู้เสีย