คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ว่าจะนำเงินที่ได้จากโครงการออกก่อนเกษียณราชการชำระหนี้แก่โจทก์ 100,000 บาท หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน สำนักงานตำรวจแห่งชาติอนุมัติให้ผู้ตายลาออกจากราชการแล้ว ดังนั้นเมื่อผู้ตายได้รับอนุมัติให้ลาออกและมีสิทธิรับเงินตามโครงการออกก่อนเกษียณราชการย่อมถือว่าเงื่อนไขบังคับก่อนที่ผู้ตายต้องรับผิดชอบชำระเงินให้แก่โจทก์ได้สำเร็จเป็นผลให้โจทก์เกิดสิทธิที่จะได้เงินจากผู้ตายได้แล้ว ต่อมาผู้ตายถึงแก่ความตาย ความรับผิดของผู้ตายต่อโจทก์ย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1600 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทย่อมต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้ตาย แต่ไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1601

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จ แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน ให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ในข้อกฎหมายว่า การที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องต่อศาลในวันที่ 13 สิงหาคม 2547 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ทางราชการได้โอนเงินเข้าบัญชีผู้ตายนั้น สิทธิเรียกร้องของโจทก์เกิดขึ้นแล้วหรือไม่ อันจะเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องแล้วหรือไม่ เห็นว่า ผู้ตายทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ว่าจะชำระเงินให้โจทก์ 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าจะชำระเงินให้โจทก์เมื่อผู้ตายได้รับอนุมัติให้ลาออกจากราชการตามโครงการออกก่อนเกษียณราชการ โดยจะนำเงินที่ได้จากโครงการดังกล่าวให้แก่โจทก์ ปรากฏว่าผู้ตายได้รับคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติอนุมัติให้ลาออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 ผู้ตายย่อมมีสิทธิที่จะได้รับเงินจากการลาออกตามโครงการออกก่อนเกษียณราชการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 อันเป็นวันที่ได้รับอนุมัติให้ลาออกจากราชการซึ่งทางราชการต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ตายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 เป็นต้นไป เมื่อผู้ตายได้รับอนุมัติให้ลาออกและมีสิทธิรับเงินตามโครงการออกก่อนเกษียณราชการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 ย่อมถือได้ว่าเงื่อนไขบังคับก่อนที่ผู้ตายต้องรับผิดชอบชำระเงิน 100,000 บาท ให้แก่โจทก์ได้สำเร็จแล้วเป็นผลให้โจทก์เกิดสิทธิที่จะได้เงินจากผู้ตายได้แล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2547 ผู้ตายถึงแก่ความตาย ความรับผิดของผู้ตายต่อโจทก์ย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1600 จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทย่อมต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้ตาย แต่ไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1601 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยทั้งสี่ทันทีตั้งแต่วันที่ผู้ตายถึงแก่ความตาย สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยทั้งสี่จึงมีขึ้นก่อนฟ้องคดีนี้แล้ว ทั้งได้ความว่าก่อนฟ้องคดีโจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้วแต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share