แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พันตำรวจตรี ส. ปฏิบัติงานในหน้าที่นายทะเบียนคนต่างด้าวแทนจำเลย ได้ปฏิเสธไม่ยอมออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ ขณะฟ้องคดีจำเลยยังดำรงตำแหน่งนายทะเบียนคนต่างด้าว มีหน้าที่ออกใบสำคัญประจำตัวให้คนต่างด้าวทั้งโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยในฐานะนายทะเบียนคนต่างด้าว หาได้ฟ้องในฐานะส่วนตัวไม่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยได้ ไม่เป็นการผิดตัว และกรณีนี้ถือว่า นายทะเบียนคนต่างด้าวได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว
โจทก์ฟ้องตั้งรูปคดีเป็นเรื่องโจทก์ขอให้ออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ เพราะโจทก์ถูกถอนสัญชาติไทยโดยบรรยายฟ้องว่า โจทก์เกิดในประเทศไทยได้สัญชาติไทยตามกฎหมาย ต่อมาโจทก์ถูกถอนสัญชาติไทยโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 โจทก์จึงไปยื่นคำร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว แต่นายทะเบียนคนต่างด้าวปฏิเสธ แล้วมีคำขอให้บังคับจำเลยออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ ซึ่งมีความหมายเป็นการขอเพิกถอนคำสั่งเดิมของนายทะเบียนคนต่างด้าวไปในตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขอให้เพิกถอนคำสั่งกล่าวอีก เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับรวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว คำสั่งเดิมที่ปฏิเสธไม่ออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์เพราะเหตุอะไร และสั่งไว้อย่างไร เป็นรายละเอียดที่จำเลยจะยกขึ้นต่อสู้คดีเอง คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คนต่างด้าวจะขอมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวได้ 2 กรณีตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493 มาตรา 7 และมาตรา 8 สำหรับกรณีตามมาตรา 7 เป็นเรื่องให้คนต่างด้าวที่มีอายุ 12 ปีบริบูรณ์หรือคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เป็นคนเข้าเมืองตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองไปขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวได้ ภายใน 7 วัน ฯลฯ ซึ่งไม่รวมถึงบุคคลที่เคยมีสัญชาติไทยมาก่อนแล้วเสียสัญชาติไทยไปในตอนหลังด้วย เพราะบุคคลดังกล่าวจะต้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ตามมาตรา 8 และการเสียสัญชาติไทยตามมาตรา 8 นี้ มิได้หมายความถึงเฉพาะการเสียสัญชาติไทย ตามที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 เท่านั้น ต้องรวมถึงการเสียสัญชาติไทยในทุกกรณี โจทก์เสียสัญชาติไทยไปตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 เพราะโจทก์เกิดในประเทศไทยในขณะที่บิดาโจทก์เป็นคนต่างด้าวและได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง จึงอยู่ในข่ายจะต้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ตามมาตรา 5 เช่นกัน
โจทก์ทำหนังสือขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวยื่นมาโดยมิได้ส่งรูปถ่ายและยื่นเรื่องราวตามแบบ ท.ต. ของทางราชการ นายทะเบียนคนต่างด้าวปฏิเสธไม่ยอมออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ทันทีโดยมิได้บอกกล่าวให้ทราบว่าโจทก์ทำไม่ถูกต้องอย่างไร และไม่ได้ความว่าโจทก์ขัดขืนไม่ยอมยื่นเรื่องราวตามแบบ ท.ต. 1 ของทางราชการ จึงไม่ถูกต้อง เมื่อโจทก์มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน มาตรา 8 แห่ง พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493 ย่อมมีสิทธิจะได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ตาม มาตรา 9 นายทะเบียนคนต่างด้าวจะใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ศาลสั่งให้จำเลยออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์เมื่อมีการยื่นคำขอใหม่ตามแบบ ท.ต. 1 แล้วได้ และไม่ถือว่าเกินคำขอท้ายฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เกิดในประเทศไทย บิดามารดาเป็นคนต่างด้าว ต่อมาโจทก์ถูกถอนสัญชาติไทยโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗ จึงได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยในฐานะนายทะเบียนคนต่างด้าวอำเภอเมืองสกลนครเพื่อขอออกบัตรประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมาย จำเลยปฏิเสธ อ้างเหตุขัดข้องทางนโยบายของทางราชการ ขอให้บังคับจำเลยออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์
จำเลยให้การว่าจำเลยเป็นนายทะเบียนคนต่างด้าวอำเภอเมืองสกลนครจริง แต่ผู้ที่ปฏิเสธไม่ออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมิใช่จำเลย โจทก์ฟ้องผิดตัวและไม่มีอำนาจฟ้อง เหตุที่ไม่ออกให้โจทก์เพราะโจทก์ถูกถอนสัญชาติไทย และไม่เข้าเกณฑ์จะขอมีบัตรประจำตัวคนต่างด้าวได้ตามกฎหมาย ทั้งโจทก์มิได้ยื่นคำขอตามกฎกระทรวง และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ ทั้งนี้เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำขอตามแบบของทางราชการแล้ว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เกิดในประเทศไทย มีสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ ฯ แต่เสียสัญชาติไทยไปโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ เพราะบิดาโจทก์เป็นคนต่างด้าวและเข้ามาอยู่ในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ส่วนจำเลยเป็นนายทะเบียนคนต่างด้าวอำเภอเมืองสกลนครโจทก์ได้มายื่นเรื่องราวขอให้ออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวต่อนายทะเบียนคนต่างด้าวอำเภอเมืองสกลนครแล้ว แต่ทำเป็นหนังสือยื่นมาโดยมิได้ส่งรูปถ่ายและยื่นเรื่องราวตามแบบ ท.ต. ๑ ท้ายกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๔๙๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ ขณะนั้นพันตำรวจตรีสุรงค์ สุวรรณวงศ์ ปฏิบัติงานแทนจำเลยในหน้าที่นายทะเบียนคนต่างด้าวอำเภอเมืองสกลนคร และได้ปฏิเสธไม่ยอมออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังนี้
ปัญหาโจทก์ฟ้องผิดตัวและมีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้น เห็นว่าแม้พันตำรวจตรีสุรงค์ สุวรรณวงศ์ จะเป็นผู้ปฏิเสธไม่ยอมออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ แต่ขณะนั้นพันตำรวจตรีสุรงค์ สุวรรณวงศ์ก็ปฏิบัติงานในหน้าที่นายทะเบียนคนต่างด้าวอำเภอเมืองสกลนครแทนจำเลย ขณะยื่นฟ้องคดีนี้จำเลยยังดำรงตำแหน่งเป็นนายทะเบียนคนต่างด้าวอำเภอเมืองสกลนครอยู่ ซึ่งมีหน้าที่จะต้องออกใบสำคัญประจำตัวให้คนต่างด้าวตามพระราชบัญญัติทะเบียนการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ มาตรา ๙ ทั้งโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยในฐานะนายทะเบียนคนต่างด้าวอำเภอเมืองสกลนครด้วย หาได้ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวไม่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยได้ ไม่เป็นการฟ้องผิดตัวแต่อย่างใด และกรณีนี้ถือว่านายทะเบียนคนต่างด้าวอำเภอเมืองสกลนครได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว
ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องตั้งรูปคดีเป็นเรื่องโจทก์ขอให้ออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว เพราะโจทก์ถูกถอนสัญชาติไทย และบรรยายฟ้องว่า โจทก์เกิดในประเทศไทยได้สัญชาติไทยตามกฎหมาย ต่อมาโจทก์ถูกถอนสัญชาติไทยโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ โจทก์จึงไปยื่นคำร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว แต่นายทะเบียนคนต่างด้าวอำเภอเมืองสกลนครได้ปฏิเสธไม่ยอมทำให้แล้วมีคำขอท้ายฟ้องให้บังคับจำเลยออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ ซึ่งมีความหมายเป็นการขอเพิกถอนคำสั่งเดิมของนายทะเบียนคนต่างด้าวไปในตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขอให้เพิกถอนคำสั่งกล่าวอีก คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับรวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ แล้ว คำสั่งเดิมที่ปฏิเสธไม่ออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์เพราะเหตุอะไรและสั่งไว้อย่างไร เป็นรายละเอียดที่จำเลยจะยกขึ้นต่อสู้คดีเอง คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ปัญหาว่าจำเลยจะต้องออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่นั้น เห็นว่า คนต่างด้าวจะขอมีใบสำคัญประจำตัวได้ ๒ กรณีตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ มาตรา ๗ และมาตรา ๘ สำหรับกรณีตามมาตรา ๗ เป็นเรื่องให้คนต่างด้าวที่มีอายุ ๑๒ ปีบริบูรณ์หรือคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เป็นคนเข้าเมืองตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ไปขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวได้ ภายใน ๗ วัน ฯลฯ ซึ่งไม่รวมถึงบุคคลที่เคยมีสัญชาติไทยมาก่อนแล้วเสียสัญชาติไทยไปในตอนหลังด้วย เพราะบุคคลดังกล่าวจะต้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามมาตรา ๘ ซึ่งบัญญัติว่า “คนสัญชาติไทยผู้เสียไปซึ่งสัญชาติไทยไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้ไปขอใบสำคัญประจำตัวจากนายทะเบียนในท้องที่ที่ตนอยู่ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรรู้ว่าคนได้เสียไปซึ่งสัญชาติไทย” การเสียสัญชาติไทยตามมาตรา ๘ นี้มิได้หมายความถึงเฉพาะการเสียสัญชาติไทย ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕๐๘ ตามข้อกล่าวอ้างของจำเลย ต้องรวมถึงการเสียสัญชาติไทยในทุกกรณี โจทก์เสียสัญชาติไทยไปตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ ก็อยู่ในข่ายจะต้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามมาตรา ๘ เช่นกัน แม้การขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวโจทก์จะทำเป็นหนังสือยื่นมาตามเอกสาร หมาย จ.๒ โดยมิได้ส่งรูปถ่ายและยื่นเรื่องราวตามแบบ ท.ต. ๑ ท้ายกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๔๙๓ ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ แต่นายทะเบียนคนต่างด้าวปฏิเสธไม่ยอมออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ทันทีโดยมิได้บอกกล่าวให้ทราบว่าโจทก์ทำไม่ถูกต้องอย่างไรบ้าง และไม่ได้ความว่า โจทก์ขัดขืนไม่ยอมยื่นเรื่องราวตามแบบ ท.ต. ๑ ของทางราชการด้วย การกระทำของนายทะเบียนคนต่างด้าวอำเภอเมืองสกลนครจึงไม่ถูกต้อง เมื่อโจทก์มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน มาตรา ๘ ย่อมมีสิทธิจะได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว พ.ศ.๒๔๙๓ มาตรา ๙ นายทะเบียนคนต่างด้าวจะใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ศาลล่างสั่งให้จำเลยออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์เมื่อมีการยื่นคำขอใหม่ตามแบบ ท.ต. ๑ แล้วได้ และไม่ถือว่าเกินคำขอท้ายฟ้องด้วย
พิพากษายืน