แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
(1)  ในกรณีที่คู่ความทำสัญญาซื้อขายของ  และฝ่ายหนึ่งต่อสู้ว่าได้แปลงหนี้แต่นำสืบได้เพียงว่า  อีกฝ่ายหนึ่งได้พูดว่าให้หาเงินมาให้เร็ว  ถ้าช้าจะคิดดอกเบี้ยบ้างนั้น  ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321  วรรค 2  ยังไม่เป็นหลักฐานมั่นคงถึงกับจะฟังว่าได้มีการแปลงหนี้กันใหม่
(2)  จำเลยเท่านั้นมีหน้าที่รับหรือปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 3  ฉะนั้น  ในการที่จำเลยต่อสู้คดีมีข้ออ้างบางประการขึ้นนั้น  โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องแถลงรับหรือปฏิเสธ
(3)  โดยเหตุผลในข้อ (2)  ข้างบนนี้และเมื่อจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างของจำเลย  โจทก์ก็ย่อมนำสืบหักล้างได้  เพราะถ้าพยานหลักฐานใดเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่ฝ่ายใดจะต้องนำสืบ  พยานหลักฐานนั้นก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 87 (1)  คือ  มิใช่ว่าจะมีสิทธินำสืบแต่เฉพาะข้อที่ตนอ้างและมีหน้าที่ตามมาตรา 84, 85 เท่านั้น  ข้อความที่ฝ่ายหนึ่งอ้างขึ้นฝ่ายเดียว  อีกฝ่ายหนึ่งแม้จะไม่ได้อ้างข้อความนั้นก็สืบหักล้างได้  จะเป็นการสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนหรือหักล้างข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่ง  ก็คงเป็นพยานในประเด็นเดียวกัน  ซึ่งต่างนำสืบโต้เถียงกันนั่นเอง
(4)  การนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยชำระหนี้รายอื่นเช่นนี้จะถือว่าโจทก์รับตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว  และโจทก์อ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่หาได้ไม่  เพราะโจทก์ไม่ได้รับว่าได้แปลงหนี้ใหม่ตามที่จำเลยอ้าง
(5)  เมื่อศาลสอบถามโจทก์ตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว  โจทก์มิได้แถลงให้เป็นประเด็นไว้ตามมาตรา 183  โจทก์ย่อมไม่มีประเด็นนำสืบ  ตามฎีกาที่ 972/2492  แต่ถ้าศาลไม่ได้สอบถาม  โจทก์มีสิทธินำสืบหักล้างได้  และเมื่อโจทก์ได้ถามค้านไว้ตามมาตรา 89 แล้ว  ศาลย่อมรับฟังข้อนำสืบของโจทก์ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระนั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น
(ข้อ (2),  (3), (4), (5)  ประชุมใหญ่ครั้งที่ 44/2505)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องให้จำเลยส่งข้าวเปลือกหรือใช้ราคา
จำเลยให้การว่า  ทำสัญญาขายข้าวเปลือกรับเงินไปแล้วหาข้าวไม่ได้จึงได้ทำเป็นสัญญากู้แต่ได้ชำระแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยส่งข้าวเปลือกหรือชำระราคา
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  เมื่อจำเลยส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ตามสัญญาไม่ได้  จำเลยก็มีความรับผิดที่จะต้องคืนเงินแก่โจทก์  เท่าที่จำเลยนำสืบว่า  “โจทก์พูดว่า  ให้หาเงินมาให้เร็ว  ถ้าช้าจะคิดดอกเบี้ยบ้าง”  คำพูดเพียงเท่านี้ไม่มีความหมายยิ่งไปกว่าผู้ซื้อเรียกเงินที่ผู้ขายจะต้องคืนให้  เพราะไม่สามารถส่งมอบทรัพย์ที่ขาย  ถ้าคืนให้ช้าเกินไปก็จะคิดดอกเบี้ย  ยังไม่เป็นหลักฐานมั่นคงถึงกับจะฟังว่าได้มีการแปลงหนี้กันใหม่  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑  วรรค ๒  บัญญัติอยู่แล้วว่า  ถ้าเพื่อที่จะทำความพอใจแก่เจ้าหนี้นั้น  ลูกหนี้รับภาระเป็นหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นใหม่ต่อเจ้าหนี้ไซร้  เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย  ท่านให้สันนิษฐานว่าลูกหนี้ได้ก่อหนี้นั้นขึ้นแทนการชำระหนี้”  ฉะนั้น  เท่าที่จำเลยนำสืบมาแล้ว  ศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์ไม่ฟังว่าได้มีการแปลงหนี้ใหม่ดังที่จำเลยต่อสู้มานั้นชอบแล้ว
จำเลยฎีกาว่า  เมื่อจำเลยยื่นคำให้การว่าได้แปลงหนี้เป็นการกู้ยืมและจำเลยชำระหนี้ที่แปลงนั้นเสร็จไปแล้ว  โจทก์ก็ไม่ได้ตั้งประเด็นขึ้นมาว่าเงินที่จำเลยชำระหนี้นั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น  จึงไม่มีประเด็นที่โจทก์จะนำสืบพยานเช่นนั้น  ในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาได้ปรึกษาในที่ประชุมใหญ่แล้ว  เห็นว่าการที่จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีมีข้ออ้างบางประการขึ้นนั้น  โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องแสดงรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของจำเลย  ซึ่งต่างกับข้ออ้างของจำเลยในคำให้การต้องแสดงโดยชัดแจ้งว่ารับหรือปฏิเสธข้ออ้างในฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๑๗๗  วรรค ๓  มิฉะนั้น  ศาลจะถือว่าคงมีประเด็นเฉพาะข้อที่จำเลยไม่รับตามมาตรา ๑๘๓ เท่านั้น  นอกนั้นอาจเป็นข้อที่ศาลเห็นว่าจำเลยได้รับแล้วและฟังข้อที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้องนั้นได้  โดยไม่ต้องสืบพยานตามมาตรา ๘๔ (๑)
เมื่อโจทก์ไม่มีหน้าที่ปฏิเสธข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวแล้ว  ข้ออ้างของจำเลยที่โจทก์มิได้แถลงรับก็ต้องถือว่าเป็นประเด็นที่จำเลยต้องนำสืบตามมาตรา ๘๔  เมื่อจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างของจำเลยดังนี้  โจทก์ก็ย่อมสืบหักล้างได้  เพราะตามมาตรา ๘๗ (๑)  ถ้าพยานหลักฐานใดเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องนำสืบแล้ว  พยานหลักฐานนั้นก็ไม่ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟัง  มิใช่ว่าคู่ความจะมีสิทธินำสืบพยานได้แต่เฉพาะข้อที่ตนได้อ้าง  และมีหน้าที่ตามมาตรา ๘๔, ๘๕  เท่านั้น  ข้อความที่ฝ่ายหนึ่งอ้างขึ้นฝ่ายเดียว  อีกประการหนึ่ง  แม้จะไม่ได้อ้างข้อความนั้น  ก็นำสืบหักล้างได้  เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวถึงข้ออ้างอันเป็นประเด็นในคดีอยู่แล้ว  จะเป็นการสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนหรือหักล้างข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่ง  ก็คงเป็นพยานในประเด็นข้อเดียวกัน  ซึ่งคู่ความต่างนำสืบโต้เถียงกันนั่นเอง
ข้อนำสืบของโจทก์เช่นนี้จะถือว่าโจทก์รับตามข้ออ้างของจำเลยแล้วและโจทก์อ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่หาได้ไม่  เพราะโจทก์มิได้รับตามข้ออ้างของจำเลยว่าได้แปลงหนี้และจำเลยได้ชำระหนี้รายที่แปลงนั้นเลย  คำพิพากษาฎีกาที่ ๙๗๒/๒๔๙๒  ที่จำเลยอ้างต่างกับคดีนี้  เพราะตามฎีกานั้น  ศาลได้สอบถามโจทก์ตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว  แต่โจทก์มิได้แถลงให้เป็นประเด็นไว้ตามมาตรา ๑๘๓  โจทก์จึงไม่มีประเด็นนำสืบ  แต่คดีนี้ศาลมิได้สอบถาม  โจทก์จึงนำสืบหักล้างข้ออ้างของจำเลยได้
ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้ถามค้านไว้จึงนำสืบไม่ได้ตามมาตรา ๘๙ นั้น  ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ได้ถามค้านไว้และจำเลยได้ตอบว่า   “ก่อนจำเลยจะได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวเปลือกคดีนี้จำเลยไม่เคยกู้เงินของโจทก์เลย”  เมื่อโจทก์ได้ถามค้านพยานจำเลยไว้เพื่อให้โอกาสพยานจำเลยอธิบายถึงข้อความเหล่านั้นตามมาตรา ๘๙  ศาลย่อมรับฟังข้อนำสืบของโจทก์ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระมานั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น
พิพากษายืน
