คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่พลตำรวจเอารถของกรมตำรวจขับไปโดยพละการมิได้ขออนุญาตจากผู้ครอบครองรักษารถไปชนรถโจทก์เสียหาย เมื่อโจทก์ไม่มีพะยานแสดงให้เห็นว่าการที่จำเลยที่ 2 ขับรถไปชนรถโจทก์นั้นได้กระทำไปในทางที่จ้างตาม ป.พ.พ.มาตรา 425 กรมตำรวจก็ไม่ต้องรับผิด , และตามพฤติการณ์เช่นว่านี้ พลตำรวจเป็นผู้ครอบครองรถในขณะเกิดเหตุ กรมตำรวจมิได้ครอบครองอันจำต้องรับผิดตาม ป.พ.พ.มาตรา 437

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ฮิลแมนเก๋งเลขทะเบียน ก.ท.๒๐๘๘๗ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์จิ๊บเลขทะเบียน ๑๖๘ และจำเลยที่ ๒ เป็นพลตำรวจประจำการเป็นลูกจ้างอยู่ในความบังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ได้ขับรถจิ๊บดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ ในหน้าที่ราชการของจำเลยที่ ๑ อันเป็นการกระทำไปในทางการที่จ้างด้วยความประมาทชนท้ายรถยนต์ของโจทก์เสียหาย ขาดประโยชน์ ๗๘ วัน ๆ ละ ๕๐ บาท เสียค่าซ่อม ๖,๐๐๐ บาท เป็นเหตุให้รถเสื่อมราคา ๕,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๑๔,๙๐+ บาทแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ และไม่มีหน้าที่ขับขี่รถยนต์ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ นำรถไปโดยพละการ จำเลยที่ ๑ มิต้องรับผิด
จำเลยที่ ๒ รับว่าขนรถโจทก์เสียหายด้วยความประมาทจริงยอมใช้ให้โจทก์ ๔,๘๐๐ บาท ซึ่งโจทก์ตกลงแล้ว แต่จำเลยไม่สามารถชำระได้
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีมีเหตุผลน่าเชื่อตามคำพะยานจำเลยว่าจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถไปโดยพละการนอกเหนือหน้าที่ โจทก์เองนำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้กระทำไปในทางการที่จ้างเห็นว่าจำเลยที่ ๑ไม่ต้องรับผิดเพราะการกระทำของจำเลยที่ ๒ ด้วยพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน ๑๐,๙๐๐ บาท และยกฟ้องโจทก์ฉะเพาะจำลยที่ ๑
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เต็มตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ ๑ มิต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ส่วนค่าเสียหายเรื่องรถเสื่อมราคาซึ่งศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ ๒ ใช้เพียง ๑,๐๐๐ บาทนั้น เห็นว่าน้อยไป โจทก์นำสืบได้ว่ารถยนต์ที่ถูกชนเช่นนี้แม้ซ่อมแซมใหม่ก็เสื่อมคุณภาพไม่ดีดั่งเดิม และทำให้ราคาตกไปรวม ๕,๐๐๐-๖,๐๐๐ บาทซึ่งจำเลยมิได้นำสืบหักล้าง พิพากษาแก้เพียงว่าให้จำเลยที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์รวมทั้งสิ้น ๑๔,๙๐๐ บาทตามฟ้องนอกจากนี้คงยืน
แต่มีผู้พิพากษานายหนึ่งทำความเห็นแย้งว่าค่าเสียหายในการที่รถเสื่อมราคาเพราะถูกชนนั้น จะถือว่าเอาราคาที่ได้ซื้อมาเป็นเกณฑ์ไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่ได้ซื้อมาใช้เอง ให้คนอื่นเช่าไปอีกทีหนึ่ง โจทก์ไม่ได้นำผู้เชี่ยวชาญในการตีราคารถยนต์มาสืบว่ารถคงมีราคาเท่าใด ศาลชั้นต้นกะให้ ๑,๐๐๐ บาทเป็นผลดีอยู่แล้ว ควรพิพากษายืน
โจทก์ฝ่ายเดียวฎีกาขอให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ ไม่มีพะยานแสดงให้เห็นว่า การที่จำเลยที่ ๒ ขับรถไปชนรถยนต์ของโจทก์นั้นได้กระทำไปในทางการที่จ้างตามมาตรา ๔๒๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จำเลยที่ ๑ หาต้องรับผิดต่อโจทก์ไม่ และการที่จำเลยที่ ๒ ได้นำรถของทางราชการตำรวจขับไปโดยพละการแล้วไปชนรถโจทก์เสียหาย ตามพฤติการณ์ในคดีนี้ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษามีมติโดยที่ประชุมใหญ่ว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ครอบครองรถยนต์จิ๊บในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ มิได้ครอบครองอันจะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๓๗
พิพากษายืน

Share