แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อน กรมทางหลวงเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้กับ ส.ลูกจ้างของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 คดีนี้เป็นจำเลย หาว่าส. ขับรถยนต์โดยสารในทางการที่จ้างของโจทก์และจำเลย ที่ 1ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทโดยต่างขับเคียงคู่ใกล้ชิดกันด้วยความเร็วสูงในลักษณะแข่งขันความเร็วกัน เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันกระแทกกันจนรถยนต์โดยสารแฉลบออกไปชนเสาและราวเกาะกลางถนนกับเสาไฟฟ้าของกรมทางหลวงเสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสี่ (ในคดีก่อน)ใช้ค่าเสียหาย คดีถึงที่สุดโดยศาลฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุละเมิดเกิดจากความผิดของรถยนต์บรรทุกน้ำมันอีกคันหนึ่งขับแซงเบียดกระแทกรถยนต์บรรทุกทำให้รถยนต์บรรทุกเสียหลักไปชนรถยนต์โดยสารหาใช่ความผิดของจำเลยที่ 1 คดีนี้และ ส. ไม่ พิพากษายกฟ้อง โจทก์มาฟ้องคดีนี้ โดยอ้างเหตุอย่างเดียวกับที่โจทก์ให้การต่อสู้ในคดีก่อนว่า จำเลยที่ 1 คดีนี้ขับรถเบนออกมาทางด้านขวาเข้ามาชนรถยนต์โดยสารของโจทก์เสียหลักพุ่งเข้าชนเกาะกลางถนนเป็นความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว เช่นนี้ เห็นได้ว่าประเด็นข้อพิพาทโดยตรงในคดีก่อนกับคดีนี้เป็นอย่างเดียวกันว่า ส.ลูกจ้างของโจทก์หรือจำเลยที่ 1 คดีนี้เป็นฝ่ายขับรถยนต์โดยประมาทแม้ว่าในคดีก่อน โจทก์กับ ส. ลูกจ้าง และจำเลยที่ 1 ที่ 2 คดีนี้จะเป็นจำเลยด้วยกันก็ตามก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของ ศาลในคดีก่อนด้วยคำพิพากษาในคดีก่อนจึงมีผลผูกพัน โจทก์คดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถยนต์บรรทุกโดย ประมาทดังข้ออ้างในฟ้องเป็นความประมาทของรถยนต์บรรทุกน้ำมันอีกคันหนึ่ง โจทก์จะโต้แย้งว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทหาได้ไม่
เมื่อโจทก์ต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนโดยผลของกฎหมายว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ก็เท่ากับว่า จำเลยที่ 1 รวมทั้งจำเลยอื่น (นายจ้างของจำเลยที่ 1 และผู้รับประกันภัยรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ) ไม่ได้ โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องย่อมเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดกล่าวอ้างศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน๑ จ-๗๕๖๙ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำหน้าที่ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ส.บ. ๒๐๖๔๙ จำเลยที่ ๔ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกดังกล่าวจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ส.บ.๒๐๖๔๙ ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ โดยประมาท ขับด้วยความเร็วสูงแซงรถบรรทุกน้ำมันชนรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน ๑ จ-๗๕๖๙ จนเสียหลักพุ่งเข้าชนราวเกาะกลางถนนและชนเสาไฟฟ้าโจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ใช่นายจ้างของจำเลยที่ ๑ และเหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน๑ จ-๗๕๖๙ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะความประมาทของผู้ขับรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน ๑ จ-๗๕๖๙ และจำเลยที่ ๔ รับประกันภัยในวงเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ถ้าจะรับผิดก็เพียงเท่าจำนวนเงินดังกล่าว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่า คำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๖๐๕๕/๒๕๒๑หมายเลขแดงที่ ๑๘๖๖/๒๕๒๓ ของศาลแพ่งที่ฟังว่า จำเลยที่ ๑ คดีนี้ไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาท ไม่มีผลผูกพันโจทก์คดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๕ ดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า กรณีที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยที่ ๑ ว่าขับรถยนต์บรรทุกโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์คดีนี้นั้น กรมทางหลวงได้เป็นโจทก์ ฟ้องโจทก์ นายสมพร ฤทธิ์เดช ลูกจ้างขับรถยนต์โดยสารของโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ คดีนี้เป็นจำเลยหาว่า นายสมพร ฤทธิ์เดช กับจำเลยที่ ๑ขับรถยนต์โดยสารกับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างของโจทก์ และของจำเลยที่ ๒ด้วยความประมาท โดยต่างขับเคียงคู่ใกล้ชิดกันด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ในลักษณะแข่งขันความเร็วกัน เป็นที่น่าหวาดเสียวโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันกระแทกกันจนรถยนต์โดยสารแฉลบออกไปทางขวาชนเสาและราวคอนกรีตเสริมเหล็กเกาะกลางถนน กับชนเสาไฟฟ้ากลางถนนของโจทก์ (กรมทางหลวง) ชำรุดเสียหายให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวนี้ว่า เหตุละเมิดเกิดจากความผิดของรถยนต์บรรทุกน้ำมันอีกคันหนึ่งขับแซงเบียดกระแทกรถยนต์บรรทุก ทำให้รถยนต์บรรทุกเสียหลักเบนไปทางขวาชนกับรถยนต์โดยสาร หาใช่ความผิดของจำเลยที่ ๑ คดีนี้และนายสมพร ฤทธิ์เดชจำเลยที่ ๓ ในคดีนั้นไม่ พิพากษาฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดเพียงศาลชั้นต้น ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๐๕๕/๒๕๒๑ หมายเลขแดงที่ ๑๘๖๖/๒๕๒๓ ของศาลแพ่งเห็นว่าข้ออ้างของโจทก์ในคดีนี้เป็นเรื่องเดียวกับที่โจทก์ถูกกรมทางหลงฟ้องให้ร่วมรับผิดร่วมกับลูกจ้างในผลแหงการทำละเมิดของนายสมพรลูกจ้างในคดีแพ่งดังกล่าวโจทก์ให้การการโต้แย้งว่า จำเลยที่ ๑ คดีนี้ขับรถเบนออกมาทางด้านขวาเข้ามาชนรถยนต์โดยาร ของโจทก์เสียหลักพุ่งเข้าชนเกาะกลางถนนเป็นความประมาทของจำเลยที่ ๑ ฝ่ายเดียว เช่นเดียวกับข้ออ้างในคดีนี้ อันมีประเด็นข้อพิพาทกันโดยตรงว่า นายสมพรลูกจ้างของโจทก์หรือจำเลยที่ ๑คดีนี้เป็นฝ่ายขับรถยนต์โดยประมาท แม้ว่าในคดีนั้นโจทก์กับนายสมพรลูกจ้างและจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ คดีนี้จะเป็นจำเลยด้วยกันก็ตาม ก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีนั้นด้วย หากจำต้องเป็นโจทก์และจำเลยคนละฝ่าย จึงจะถือว่าเป็นคู่ความดังที่โจทก์อ้างฎีกาไม่ ดังนั้น คำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๖๐๕๕/๒๕๒๑ หมายเลขแดงที่ ๑๘๖๖/๒๕๒๓จึงมีผลผูกพันโจทก์คดีนี้ว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ขับรถยนต์บรรทุกโดยประมาทดังข้ออ้างในฟ้องเป็นความประมาทของรถยนต์บรรทุกน้ำมันอีกคันหนึ่ง โจทก์จะโต้แย้งว่าจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายประมาทหาได้ไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า ปัญหาเรื่องคำพิพากษาผูกพันโจทก์ ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยโดยไม่มีฝ่ายใดกล่าวอ้างเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาโดยผลของกฎหมายว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ให้ได้รับความเสียหายแล้ว ก็เท่ากับว่าจำเลยที่ ๑ รวมทั้งจำเลยอื่นไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยอื่นร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องย่อมเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยให้ยกฟ้อง โจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน