คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1485/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีชั้นร้องขัดทรัพย์ ปรากฏว่าเรือนพิพาทซึ่งผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์เข้ามาราคา 3,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยฟังว่าเรือนพิพาทเป็นของจำเลย คู่ความจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยไม่ชำระโจทก์จึงนำยึดทรัพย์จำเลยเพื่อขายทอดตลาดนางสาวกมล เลาหวานิช ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่า เรือนและรถไถนาเป็นของตน โดยจำเลยตีใช้หนี้ ในที่สุดโจทก์จำเลยและนางสาวกมล เลาหวานิช ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้เรือนเป็นของโจทก์ จำเลยและบริวารจะออกไปจากเรือนใน 15 วัน โจทก์ยอมปลดหนี้ให้จำเลย 5,300 บาท และให้รถไถนาเป็นของนางสาวกมล เลาหวานิช ต่อมาผู้ร้องทั้งสามในคดีนี้ซึ่งเป็นบุตร บุตรสะใภ้ และภรรยาจำเลย ไม่ยอมออกจากเรือนศาลจึงออกหมายจับมากักขัง ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องว่าเรือนที่ผู้ร้องทั้งสามอยู่ คือ เรือนเลขที่ 56/1 เป็นของผู้ร้องที่ 1 ส่วนเรือนของจำเลยที่ถูกยึดคือเรือนเลขที่ 56 ในวันนัดพร้อมโจทก์แถลงว่าเรือนเลขที่ 56/1 ก็คือเรือนเลขที่ 56 ซึ่งถูกยึดนั่นเอง แต่ผู้ร้องได้ไปขอเปลี่ยนเลขบ้านใหม่ ศาลชั้นต้นเห็นว่าเมื่อโจทก์ยืนยันว่าเป็นเรือนของจำเลย จึงเป็นเรื่องที่ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ที่โจทก์นำยึด แล้วกะประเด็นให้โจทก์นำสืบก่อน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลย ให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต่อมา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าเรือนพิพาทซึ่งผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์เข้ามานี้ราคา 3,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นแล้ว คู่ความจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

พิพากษาให้ยกฎีกาของผู้ร้องขัดทรัพย์

Share