คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1481/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายอยู่กินกับจำเลยอย่างสามีภริยาแล้วทิ้งจำเลยไป จำเลยตามให้กลับ ผู้ตายก็ด่าจำเลยด้วยคำหยาบช้า และถีบเตะ เอาศีรษะชนอกจำเลย จำเลยจึงแทงผู้ตายไปในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2495 เวลากลางวัน จำเลยได้บังอาจใช้มีดซุยปลายแหลมแทงนางพร ใจอักษร หลายทีโดยเจตนาฆ่านางพรให้ตาย และนางพรได้ถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลที่ถูกจำเลยทำร้าย ปรากฏตามรายงานชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249

จำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้ใช้มีดทำร้ายร่างกายนางพรใจอักษรถึงแก่ความตายจริง เพราะผู้ตายยั่วโทสะจำเลย จำเลยบันดาลโทษะขึ้นในขณะนั้น และได้กระทำความผิดลงไป

ศาลจังหวัดแพร่พิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่าจำเลยได้บันดาลโทสะและทำร้ายผู้ตายในขณะนั้น จำเลยควรได้รับการลดโทษตามกฎหมายจึงพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 ลงโทษจำคุก 20 ปี ลดฐานยั่วโทสะตามมาตรา 55 กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก 10 ปี จำเลยรับสารภาพโดยดี ปรานีลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 59 คงจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 5 ปี

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว คดีนี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ดังนั้นในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามมาตรา 222 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ข้อเท็จจริงแห่งคดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังตามศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีอายุ 19 ปีได้นางพรผู้ตายอายุ 27 ปีเป็นภรรยา อยู่กินกันมาประมาณ 1 ปีเศษแล้ว ผู้ตายนี้เดิมมีชื่อเสียงเป็นหญิงนักเที่ยวและมีสามีแล้ว 3 คนจำเลยก็ทราบดี แต่คงหลงรักอย่างมากมาย ก่อนเกิดเหตุ 4 วันจำเลยกับผู้ตายไปรับจ้างถ่ายรูปเมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว ผู้ตายมาเอาฟิล์มไปล้างที่ตำบลสูงเม่นต่อจากนั้นผู้ตายก็ไม่กลับไปหาจำเลยเป็นเวลาถึง 4 คืน จำเลยไม่เป็นอันกินอันนอน เฝ้าแต่นึกระแวงว่าผู้ตายจะนอกใจ วันเกิดเหตุจำเลยจึงออกตามและไปพบผู้ตายที่บ้านนางเม็ด จึงชวนผู้ตายให้กลับบ้านโดยดี ผู้ตายก็ไม่ยอม จำเลยอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่า ผู้ตายก็คงยืนกราน จำเลยถามถึงสาเหตุโกรธเคือง ผู้ตายบอกว่า “มีผัว 6-7 คนแล้วก็ทิ้งเหมือนอย่างมึงนี้” จำเลยอ้อนวอนให้ผู้ตายกลับอีก ผู้ตายไม่ยอม ซ้ำยังด่าจำเลยว่า “ขี้หีกูก็ไม่ไป” จำเลยโกรธ เข้าฉุดแขนผู้ตาย ผู้ตายเอาเท้าถีบหน้าแข้ง และเอาหัวชนอกจำเลย จำเลยปล่อยมือผู้ตาย เดินไปหยิบมีดซึ่งเหน็บอยู่ที่ข้างฝาบ้านนั้นมาถือไว้แล้วอ้อนวอนผู้ตายให้กลับบ้าน ผู้ตายก็ด่าอีกว่า “ขี้หีกูไม่ไปกับมึงดำก็ดำ แดงก็แดง กูไม่ไป” จำเลยจึงแทงผู้ตายถูกที่สำคัญบ้างไม่สำคัญบ้างรวม 5 แผล ปรากฎตามรายงานชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องคำว่า “ขี้หี” นี้ ชาวบ้านชนบทนี้ถือว่าเป็นคำหยาบที่สุด

เมื่อข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยหลงรักนางพรผู้ตายอย่างมากมาย ทั้งที่ผู้ตายมีชื่อเสียงเป็นหญิงนักเที่ยว และมีสามีมาแล้ว 3 คน เมื่อผู้ตายไม่กลับไปหาจำเลยเป็นเวลา 4 คืน จำเลยก็ระแวงว่าผู้ตายจะนอกใจ จึงวิงวอนให้ผู้ตายกลับไปอยู่กับจำเลยโดยดี ผู้ตายกลับด่าจำเลยด้วยถ้อยคำซึ่งชาวบ้านชนบทนี้ถือว่าเป็นคำที่หยาบคายที่สุด ทั้งการที่ผู้ตายยังใช้เท้าถีบเตะจำเลย และเอาศีรษะชนหน้าอกจำเลยนั้น ครั้งสุดท้ายที่จำเลยอ้อนวอนผู้ตายให้กลับบ้าน ผู้ตายด่าอีกว่า “ขี้หีกูไม่ไปกับมึงดำก็ดำ แดงก็แดง ก็ไม่ไป” จำเลยบันดาลโทสะ จึงใช้มีดแทงผู้ตายในขณะนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของผู้ตายเช่นนี้ถือได้ว่าผู้ตายได้ข่มเหงจำเลยด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และจำเลยบันดาลโทสะขึ้นในขณะนั้น ตามมาตรา 55 แห่งกฎหมายลักษณะอาญาโดยนัยแห่งคำพิพากษาฎีกา 985/2482 ระหว่างอัยการพัทลุง โจทก์ นายสุข สิงหมงคลจำเลย และคำพิพากษาฎีกาที่ 193/2485 ระหว่างอัยการสงขลา โจทก์นายจิสิน นุรัตน์ จำเลย ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาวางบทกำหนดโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนให้ยกฎีกาโจทก์เสีย

Share