คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะเรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าเป็นรายเดือนทุกเดือน แต่ก็มิได้กำหนดวันที่เรียกเก็บไว้แน่นอนว่าโจทก์จะเรียกเก็บวันใดการเรียกเก็บโจทก์จะทำเป็นใบแจ้งหนี้ให้ทราบเพื่อให้ผู้ใช้กระแสไฟฟ้าชำระภายใน 15 วัน การที่โจทก์ส่งใบแจ้งหนี้ให้ผู้ใช้กระแสไฟฟ้าทราบนั้นก็ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนว่าเป็นวันใด สุดแล้วแต่โจทก์จะแจ้งให้ทราบกำหนดเวลาชำระหนี้จึงแล้วแต่โจทก์จะทวงถามถือไม่ได้ว่าเป็นหนี้อันจะต้องชำระ ณ เวลามีกำหนดแน่นอนตาม ป.พ.พ.มาตรา 700 แม้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ ก็หาทำให้จำเลยผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้แก่โจทก์ในการที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยพืชผลบุรีรัมย์ใช้กระแสไฟฟ้าของโจทก์ระหว่างวันที่ 17 มีนาคม 2518 ถึงวันที่ 16 มีนาคม 2519 โดยตกลงว่า ถ้าห้าง ฯ ผิดนัดไม่ชำระค่ากระแสไฟฟ้าให้โจทก์ จำเลยยอมชำระเงินแทนในจำนวนเงินไม่เกิน 100,000 บาท ต่อมาห้าง ฯ เลิกกิจการไม่ชำระค่ากระแสไฟฟ้าที่ใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2519 โจทก์ทวงถามจำเลยแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 43,137.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,300.10 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาค้ำประกันตามฟ้องจริง แต่ความผูกพันตามสัญญาที่มีต่อโจทก์สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2519จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบตามหนังสือลงวันที่ 28 เมษายน 2520ต่อมาโจทก์ขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่ห้างฯ โดยจำเลยมิได้ตกลงด้วยจำเลยจึงพ้นความรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเกิน 5 ปีจำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์จำเลย คู่ความแถลงรับกันว่า โจทก์ได้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้ห้างฯ ลูกหนี้จริง คงติดใจสืบพยานเฉพาะในข้อที่ว่าหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าที่จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันเป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระแน่นอนหรือไม่เท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 20,300.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี และดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวในต้นเงินเดียวกัน นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ800 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระเงิน 20,300.10 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเป็นเวลา 5 ปี นับจากวันผิดนัด และดอกเบี้ยอัตราเดียวกันจากต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยชำระเงินให้โจทก์เสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 500 บาทแทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะประเด็นที่ว่าหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าที่จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันในคดีนี้เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอนหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงสั่งรับฎีกาขึ้นมา ส่วนฎีกาของจำเลยในประเด็นอื่นศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า แม้โจทก์จะเรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าเป็นรายเดือนทุกเดือน แต่ก็มิได้กำหนดวันที่เรียกเก็บไว้แน่นอนว่าโจทก์จะเรียกเก็บในวันใด การเรียกเก็บโจทก์จะทำเป็นใบแจ้งหนี้ให้ทราบเพื่อให้ผู้ใช้กระแสไฟฟ้าชำระภายใน 15 วัน การที่โจทก์ส่งใบแจ้งหนี้ให้ผู้ใช้กระแสไฟฟ้าทราบนั้นก็ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนว่าเป็นวันใด สุดแล้วแต่โจทก์จะแจ้งให้ทราบกำหนดเวลาชำระหนี้จึงแล้วแต่โจทก์จะทวงถาม ถือไม่ได้ว่าเป็นหนี้อันจะต้องชำระ ณ เวลามีกำหนดแน่นอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 ดังนั้นแม้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ ก็หาทำให้จำเลยผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งมาตราดังกล่าวไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์500 บาทแทนโจทก์นั้นต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดเสียใหม่ให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาศาลละ 600 บาทแทนโจทก์.

Share