แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์ได้ความแต่เพียงว่า เขตที่ดินตามโฉนดที่1498 ของจำเลยไม่ถึงหลักเขตที่ปรากฏอยู่ และไม่ถึงเขตสุขาภิบาลใช้เป็นจุดวัดทางสาธารณะ การใช้จุดวัดดังกล่าวนี้ไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้การรังวัดจากหลักเขตดังกล่าวรุกล้ำเข้าไปในทางสาธารณะ ทำให้ทางสาธารณะที่คั่นอยู่ระหว่างที่ดินโจทก์จำเลยร่นเข้าไปอยู่ในที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการบรรยายถึงการกระทำของบุคคลอื่นอันมีผลให้กระทบกระเทือนถึงที่ดินของโจทก์ หาได้มีข้อความที่เกี่ยวกับจำเลยว่าได้กระทำการอันใดที่ทำให้ทางสาธารณะเข้าไปอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ หรือทำให้โจทก์เสียหายไม่ ต้องถือว่ายังไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างโจทก์จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน 1 แปลง อยู่ทางตะวันออกของที่ดินโฉนดเลขที่ 1498 ซึ่งจำเลยมีชื่อเป็นผู้รับโอนจากนางหอม ไม่มีทางสาธารณะคั่นอยู่ เมื่อ พ.ศ. 2504 สุขาภิบาลดอนขมิ้นเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้ หาว่าโจทก์บุกรุกที่สาธารณะบางส่วน ศาลฎีกาพิพากษาว่ามีทางสาธารณะ ให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออก โดยวัดจากหลักเขตโฉนดของนางหอมออกมา 2.50 เมตร และ 7.70 เมตร ยาวตลอดเนื้อที่ โจทก์ตรวจสอบแล้วปรากฏว่าเขตโฉนดที่ดินของจำเลยตามโฉนดที่ 1498 นั้น ทางด้านตะวันออกไม่ถึงจุดหลักเขตตามที่ปรากฏอยู่ และตามที่สุขาภิบาลดอนขมิ้นใช้เป็นจุดไว้เพื่อให้เป็นทางสาธารณะตามคำบังคับของศาลแต่เป็นการรุกล้ำเข้ามาในเขตทางสาธารณะยาวตลอดเนื้อที่ เป็นเหตุให้ทางสาธารณะนั้นรุกล้ำเข้ามาในเขตที่ดินของโจทก์กว้างยาวดังกล่าวเช่นเดียวกันทำให้โจทก์เสียหายคิดเป็นเนื้อที่ 50 ตารางเมตร ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 1498 ซึ่งแยกมาจากโฉนดเลขที่ 126 ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ยาวตลอดเนื้อที่ทั้งสองด้าน โดยถือว่าที่ดินในเขตที่เพิกถอนเป็นทางสาธารณะ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินที่ฟ้อง จำเลยได้รับโอนที่ดินโฉนดที่ 126 จากนางหอมโดยสุจริต แยกมาเป็นโฉนดที่ 1498 มีเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 48.3 ตารางวา ซึ่งเดิมได้แบ่งแยกในนามเดิมของนางหอม มาเป็นโฉนดที่ 1498 ก่อนแล้ว จึงโอนให้แก่จำเลย เดิมโจทก์ถูกฟ้องหาว่าบุกรุกที่สาธารณะ จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง โดยกำหนดวัดจากหลักเขตโฉนดของนางหอม การแบ่งแยกโฉนดเดิมเลขที่ 126 มาเป็นโฉนดที่ 1498 เป็นการแบ่งแยกโฉนดภายในเขตโฉนดเดิม ไม่ได้คลาดเคลื่อนแนวเขตที่ดิน
ในวันชี้สองสถาน คู่ความรับกันว่าที่ดินภายในเส้นสีเขียวท้ายฟ้องในเส้นประสีน้ำเงิน คือที่ดินที่พิพาทกันในคดีแพ่งแดงที่ 44/2506 ระหว่าง สุขาภิบาลดอนขมิ้น โจทก์นางสาวเป้า นิลยะนารถจำเลย ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นทางสาธารณะ ให้จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) และบริวารออกจากทางสาธารณะ โดยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปส่วนที่ดินที่พิพาทในคดีนี้คือที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง คู่ความรับกันว่าอยู่ในเขตโฉนดที่ 1498 ของจำเลย มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่อ้างว่าเป็นของโจทก์อย่างไร ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยาน และเห็นว่า แม้โจทก์จะอ้างว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงเป็นทางสาธารณะก็ตาม แต่ก็อยู่ในโฉนดที่ 1498 ของจำเลย มิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานของคู่ความ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์คงได้ความแต่เพียงว่าเขตที่ดินตามโฉนดที่ 1498 ของจำเลยนั้น ไม่ถึงหลักเขตที่ปรากฏอยู่และไม่ถึงเขตที่สุขาภิบาลดอนขมิ้นใช้เป็นจุดวัดทางสาธารณะตามคำบังคับของศาล การใช้จุดวัดดังกล่าวนี้ไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้การรังวัดจากหลักเขตดังกล่าวนั้นรุกล้ำเข้าไปในทางสาธารณะ และทำให้ทางสาธารณะที่คั่นอยู่ระหว่างที่ดินโจทก์และจำเลย ร่นเข้าไปอยู่ในที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของบุคคลอื่นอันจะมีผลให้กระทบกระเทือนถึงที่ดินของโจทก์ หาได้มีข้อความที่เกี่ยวกับจำเลยว่าได้กระทำการอันใดที่ทำให้ทางสาธารณะเข้าไปอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ หรือทำให้โจทก์เสียหายไม่ กรณีตามฟ้องต้องถือว่ายังไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างโจทก์จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น