คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1475/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์โดยการนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ออกขายทอดตลาดให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยมิได้มีคำขอให้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ แต่อย่างใด คำฟ้องคดีนี้จึงไม่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีในคดีดังกล่าว และไม่อยู่ในบังคับให้โจทก์ต้องเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 7 (2) ประกอบมาตรา 302 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจ จึงชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า การประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ ครั้งที่ 12/2551 ฉบับลงวันที่ 29 ธันวาคม 2551 ของจำเลยในส่วนทรัพย์ของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายและตกเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนมติคณะกรรมการบริหารของจำเลยและนิติกรรมเกี่ยวกับการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 15095 ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ในราคา30,400,000 บาท เป็นการขายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและตกเป็นโมฆะ ห้ามจำเลยจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงที่ดินหรือทำนิติกรรมหรือสร้างภาระติดพันเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวหากจำเลยจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์มาเป็นชื่อของจำเลย ให้เพิกถอนการจดทะเบียนดังกล่าวและให้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมาเป็นชื่อของโจทก์โดยไม่มีภาระผูกพัน หากจำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย โดยให้จำเลยเป็นผู้รับผิดค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียม อากร ค่าภาษีฝ่ายเดียว ห้ามจำเลยทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่น ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามารบกวนการครอบครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 10,000,000 บาท และค่าเสียหายวันละ 500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะดำเนินการดังกล่าวข้างต้นครบถ้วน
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยเคยยื่นฟ้องโจทก์กับพวกที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้เพื่อให้บังคับชำระหนี้เป็นสองสำนวนตามคดีหมายเลขแดงที่ 14419/2545 และคดีหมายเลขแดงที่ 7671/2545 แต่จำเลยมิได้ใช้สิทธิบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยใช้สิทธิตามกฎหมายซึ่งบัญญัติไว้ในพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2545 บังคับคดีเอากับทรัพย์สิน โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เพื่อให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์สินซึ่งเกิดจากการบังคับคดี มูลคดีพิพาทซึ่งโจทก์กล่าวอ้างเป็นเหตุให้การฟ้องจำเลยในคดีนี้ถือได้ว่าเป็นคำฟ้องที่เสนอเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาโดยกล่าวอ้างว่าการบังคับคดีไม่ถูกต้องไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย คำฟ้องดังกล่าวจึงต้องเสนอต่อศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 302 และมาตรา 7 (2) ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาจึงเป็นการสั่งโดยผิดหลง อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 จึงให้เพิกถอนคำสั่งรับฟ้อง และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องของโจทก์คืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ทั้งหมด จำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา กับให้ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ใหม่ว่า รับอุทธรณ์ของโจทก์รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ กระทรวงการคลังยื่นคำร้องขอสวมสิทธิเป็นจำเลย ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนคำสั่งรับฟ้องและคำสั่งไม่รับคำฟ้องเสีย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในชั้นนี้เพียงประการเดียวว่าคำฟ้องในคดีนี้เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ในคดีหมายเลขแดงที่ 14419/2545 และคดีหมายเลขแดงที่ 7671/2545 จึงต้องเสนอต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7 (2) กำหนดให้ต้องเสนอคำฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจบังคับคดีตามมาตรา 302 ในกรณีที่คำฟ้องหรือคำร้องขอที่เสนอเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ซึ่งคำฟ้องหรือคำร้องขอนั้นจำต้องมีคำวินิจฉัยของศาลก่อนที่การบังคับคดีจะได้ดำเนินไปได้โดยครบถ้วนและถูกต้อง เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์โดยการนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ออกขายทอดตลาดให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยมิได้มีคำขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ในคดีหมายเลขแดงที่ 14419/2545 และคดีหมายเลขแดงที่ 7671/2545 แต่อย่างใดคำฟ้องคดีนี้จึงไม่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีในคดีทั้งสองดังกล่าว และไม่อยู่ในบังคับให้โจทก์ต้องเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7 (2) ประกอบมาตรา 302 ดังนั้นที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจ จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (1) ส่วนฎีกาของจำเลยประการอื่น ๆ ล้วนไม่เป็นสาระสำคัญที่จะทำให้คำวินิจฉัยข้างต้นเปลี่ยนแปลงไปได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่

Share