แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเป็นผู้มีหน้าที่รักษาที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน มีสิทธิและหน้าที่อย่างเดียวกันตามกฎหมายในเรื่องที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายอำเภอไม่มีฐานะต่างกัน
เดิมศาลพิพากษาในคดีแดงที่ 15/2495 ซึ่งนายอำเภอวารินชำราบเป็นโจทก์ ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ให้ยกฟ้องโจทก์ในคดีนั้น ที่พิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่พิพาทในคดีแดงที่ 15/2495 ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดแล้ว แม้โจทก์ในคดีนี้จะเป็นจำเลยในคดีแดงที่ 15/2495 และศาลมิได้ชี้ขาดในคดีแดงที่ 15/2495 โดยตรงว่า ที่พิพาทในคดีนั้นเป็นของจำเลยในคดีนั้น (คือ โจทก์ในคดีนี้) แต่ผลของคำพิพากษาที่วินิจฉัยว่าโจทก์ในคดีนั้นไม่มีพยานหลักฐานพอฟังว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ก็ผูกพันโจทก์คดีนี้และผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจำเลยคดีนี้ มิให้รื้อร้องฟ้องพิพาทกันในคดีนี้อีกว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
คดี 2 สำนวนนี้ ศาลล่างพิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องมีข้อความทำนองเดียวกันว่า จำเลยแต่ละคนได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์คนละแปลง ๆ ละ 140 ตารางเมตร กำหนดเวลาเช่า 10 ปีค่าเช่าชำระล่วงหน้าปีละ 720 บาท จำเลยไม่ชำระงวดที่ 2 โจทก์บอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและบริวาร ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป และชำระค่าเช่าที่ดิน 720 บาท
จำเลยทั้ง 2 สำนวนให้การว่า ความจริงที่ที่จำเลยเช่าเป็นที่ส่วนหนึ่งของที่ดินสาธารณะแปลงที่ 29 ฯลฯ
ศาลชั้นต้นเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีในฐานะผู้ดูแลที่สาธารณะเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ให้การว่า ที่พิพาทในคดีทั้งสองแปลงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามทะเบียนลำดับที่ 29 โจทก์บุกรุกเข้าก่นสร้างที่สาธารณะ นายอำเภอวารินชำราบฟ้องขับไล่ตามคดีแพ่งแดงที่ 15/2495 ของศาลชั้นต้น ฯลฯ
ต่อมาโจทก์จำเลยแถลงรับกันว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่พิพาทในคดีแพ่งแดงที่ 15/2495 ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานแล้วพิพากษาว่า ศาลฎีกาพิพากษาว่าคดีแดงที่ 15/2495 ของศาลชั้นต้นซึ่งนายอำเภอวารินชำราบเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ยืนตามศาลล่างที่ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 28/2501 คำพิพากษานี้วินิจฉัยกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่พิพาทเป็นคุณแก่โจทก์ จึงใช้ยันบุคคลภายนอกคือจำเลยได้ เว้นแต่จำเลยจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า จำเลยอ้างสิทธิของผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี จำเลยซึ่งอยู่ในฐานะเดียวกับนายอำเภอวารินชำราบโจทก์ในคดีแดงที่ 15/2495 มิได้อ้างว่าจำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์ในคดีแดงที่ 15/2495 อย่างใด พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร ฯลฯ
ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานในประเด็นที่พิพาทแล้วพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้นายแหลมนางคำมั่นจำเลยเดิมอ้างสิทธิของผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจำเลยว่า อนุญาตให้ตนอาศัยอยู่ในที่พิพาทผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเข้ามาในคดีโดยถูกหมายเรียกตามคำสั่งของศาล โดยคำร้องของจำเลยเดิม มีฐานะเป็นคู่ความในคดีฝ่ายหนึ่ง และต่อสู้คดีในฐานะผู้รักษาที่สาธารณสมบัติฯ มีสิทธิและหน้าที่อันเดียวกับนายอำเภอวารินชำราบในคดีแดงที่ 15/2495 ตามกฎหมายในเรื่องที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพียงแต่เป็นผู้มีหน้าที่ในระดับต่างกัน มิได้ทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจำเลยมีฐานะแตกต่างไปจากโจทก์ในคดีแดงที่ 15/2495 คู่ความแถลงรับกันในคดีนี้ว่าที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแปลงที่ 29 เป็นที่แปลงใหญ่ตามแผนที่วิวาทในคดีแพ่งแดงที่ 127/2504 ของศาลชั้นต้น โจทก์เคยพิพาทกับนายอำเภอวารินชำราบมาแล้วในคดีแดงที่ 15/2495 ที่พิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่พิพาทในคดีแดงที่ 15/2495 ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คู่ความรับกัน ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจำเลยจะอ้างว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแปลงที่ 29ฐานะของผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจำเลยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนายอำเภอวารินชำราบโจทก์ในคดีแดงที่ 15/2495 แม้โจทก์ในคดีนี้จะเป็นจำเลยในคดีเดิม ซึ่งนายอำเภอวารินชำราบเป็นโจทก์ และศาลมิได้ชี้ขาดในคดีเดิมโดยตรงว่าที่พิพาทในคดีนั้นเป็นของจำเลยในคดีนั้น (คือ โจทก์ในคดีนี้) แต่ผลของคำพิพากษาที่วินิจฉัยว่า โจทก์ในคดีนั้นไม่มีพยานหลักฐานพอฟังว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ก็ผูกพันคู่ความมิให้รื้อร้องฟ้องพิพาทกันในคดีนี้อีกว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
พิพากษากลับ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ