คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ทำหนังสือสัญญาขายสิ่งของในห้องพิพาท และตกลงโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาโดยมิชอบด้วยกฎหมายรู้เห็นยินยอมด้วย แต่มิได้ลงชื่อในสัญญานั้น สัญญานั้นย่อมผูกพันสิ่งของส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรค 2 โจทก์จึงบังคับให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบสิ่งของนั้นให้แก่โจทก์ได้
เมื่อคำขอท้ายฟ้องมีว่า “ถ้าการโอนการเช่าห้องพิพาทไม่สามารถกระทำได้ ก็ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์” มิได้เรียกร้องให้คืนเงินในกรณีที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของในห้องพิพาทให้โจทก์ด้วยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เท่านั้นมีสิทธิในการเช่า จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ได้รับมาย่อมตกเป็นทรัพย์ของจำเลยทั้งสองร่วมกัน จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คืนเงินให้โจทก์ด้วยมิได้ เพราะเท่ากับเป็นการขอให้บังคับแก่บุคคลภายนอก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ ๑ มีชื่อเป็นผู้เช่าห้องพิพาท จำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือสัญญาขายสิ่งของต่างๆ ในร้านของจำเลยและตกลงโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์ โดยคิดเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ และผู้ให้เช่าได้ยินยอมด้วยแล้ว ต่อมาโจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยครบถ้วน แต่จำเลยไม่ยอมออกจากห้องพิพาท จึงขอให้บังคับให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์ และให้จำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาทพร้อมมกับส่งมองสิ่งของใช้ต่างๆ ให้โจทก์ ถ้าการโอนไม่สามารถทำได้ ก็ให้จำเลยคืนเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การรับว่าเป็นจริงตามฟ้อง และยินยอมจะโอนห้องเช่ากับส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ตามสัญญา แต่จำเลยที่ ๒ ไม่ยอม
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ โอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์และให้จำเลยกับบริวารออกจากห้องพิพาทพร้อมกับส่งมอบสิ่งของต่างๆ ให้โจทก์ถ้าการโอนทำไม่ได้ให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ขับไล่จำเลยที่สองออกจากห้องพิพาทด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ เป็นภริยาโดยมิชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ ๑ แต่ได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ขายสิ่งของในห้องพิพาทซึ่งจำเลยที่ ๑ และ ที่ ๒ เป็นเจ้าของรวมให้โจทก์ ฉะนั้น แม้จำเลยที่ ๒ มิได้ลงชื่อในสัญญาที่จำเลยที่ ๑ ทำกับโจทก์ สัญญานั้นก็ผูกพันสิ่งของส่วนของจำเลยที่ ๒ ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๑ วรรค ๒ โจทก์จึงบังคับให้จำเลยที่ ๒ ส่งมอบสิ่งของนั้นให้แก่โจทก์ได้
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดคืนเงินให้โจทก์ด้วยนั้น ตามคำขอท้ายฟ้องมีว่าถ้าการโอนการเช่าห้องพิพาทไม่สามารถทำได้ ก็ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิในการเช่า จำเลยที่ ๒ มิได้มีสิทธิในการเช่าร่วมด้วย และมิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในการโอนสิทธิการเช่า ทั้งโจทก์มิได้เรียกร้องให้คืนเงินในกรณีที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของในห้องพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในการคืนเงินในเมื่อ จำเลยที่ ๑ โอนสิทธิการเช่าไม่ได้ เมื่อคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ ๒ คืนเงินนั้นได้แล้ว โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยที่ ๒ โดยอ้างว่าเงินที่จำเลยที่ ๑ ได้มาย่อมตกเป็นทรัพย์ของจำเลยทั้งสองร่วมกัน จำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ คืนเงินให้โจทก์ด้วยนั้นหาได้ไม่ เพราะเท่ากับเป็นการชอให้บังคับแก่บุคคลภายนอก
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ส่งมอบสิ่งของในห้องพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาด้วย

Share