คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยให้การเถียงความหมายในการแปลสัญญาศาลจึงมีหน้าที่จะต้องชี้ขาดว่าสัญญานั้นมีความหมายว่าอย่างไร ถ้าหากสัญญามีข้อความชัดเจนเห็นความหมายได้แล้วศาลก็ย่อมตีความสัญญาไปตามนั้น หากถ้อยคำในสัญญาเป็นที่สงสัย ศาลก็อาจดำเนินการสืบพะยานถึงพฤตติการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนประเพณี เพื่อนำมาใช้ประกอบในการตีความนั้นได้ตามกรณี ดังที่ ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 94 ตอนท้ายอนุญาตไว้
มาตรา 11 ป.ม.แพ่ง ฯ ย่อมเป็นหลักในการแปลสัญญาจริง แต่มีความหมายเพียงว่าเมื่อศาลได้พิเคราะห์ถึงเหตุผลและพฤตติการณ์อันจะนำมาประกอบการแปลหมดแล้ว กรณียังมีข้อสงสัยอยู่ จึงให้ตีความไปตามหลักที่กล่าวในมาตรา 11 แต่ไม่ได้หมายความว่า ศาลจะใช้มาตรา 11 แปลสัญญาโดยไม่เหลียวแลถึงเหตุผลและพฤตติการณ์ประกอบสัญญานั้นเสียเลย เมื่อถ้อยคำในสัญญายังเป็นที่สงสัยและศาลล่างสั่งงดสืบพะยานมาศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลล่างพิจารณาพิพากษาใหม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา คิดเฉลี่ยตามที่โจทก์ปลูกเรือนอยู่แล้ว ๘ เมตร ราคา ๑๗๒๘ บาท จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญากับโจทก์จริง แต่สำเนาสัญญาท้ายฟ้องจะตรงกับต้นฉะบับหรือไม่ จำเลยขอสงวนไว้ปฏิเสธตอนเห็นต้นฉะบับ โจทก์จะเอาที่ดินไม่ตรงตามสัญญา ไม่ใช่ความผิดของจำเลย ศาลชั้นต้นสั่งทำแผนที่วิวาทเสร็จแล้วสั่งงดสืบพะยาน พิพากษาให้จำเลยขายเพียงเนื้อที่ดินที่โจทก์ปลูกเรือนภายในเส้นสีเหลืองในแผนที่วิวาท กว้าง ๘ เมตร ๘๕ เซ็นติเมตร ยาว ๑๓ เมตร ๔๖ เซ็นติเมตร กับหน้าชานตัวเรือนใหญ่กว้าง ๑ เมตร ๑๑ เซ็นติเมตร ยาว ๓ เมตร ๖๐ เซ็นติเมตร
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องข้อ ๓ โจทก์กล่าวว่าโจทก์ได้มีหนังสืออ้อนวอนให้จำเลยโอนขายที่ดินให้ตามสัญญา คือ ทิศเหนือ ๘ เมตร ทิศตะวันออก ๖๒ เมตร ทิศตะวันตก ๖๒ เมตร โดยคิดเฉลี่ยตามราคาที่ซื้อจากนายหยัดเมตรละ ๑๖๖ บาท เนื้อที่ ๘ เมตรที่โจทก์ปลูกเรือนแล้ว คิดเป็นเงิน ๑๓๒๘ บาทเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์อ้างว่าตามสัญญาจำเลยจะต้องขายให้เป็นเนื้อที่ ดังนั้นจำเลยให้การเถียงความหมายในการแปลสัญญา ศาลจึงมีหน้าที่ต้องชี้ขาดตามสัญญาว่ามีความหมายว่าอย่างไรถ้าหากตัวสัญญามีข้อความชัดเจน เป็นความหมายได้แล้วศาลก็ย่อมตีความสัญญาไปตามนั้น หากถ้อยคำในสัญญาเป็นที่สงสัย ศาลก็อาจดำเนินการสืบพะยานตามพฤตติการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนประเพณี เพื่อมาใช้ประกอบในการตีความนั้นได้ตามกรณี ดัง ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๙๔ วรรคท้ายอนุญาตไว้ เพราะไม่ใช่การสืบเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติม ตัดทอนเอกสารที่ห้ามไว้ในตอนต้น มาตรา ๑๑ ป.ม.แพ่ง ฯ ย่อมเป็นหลักในการแปลสัญญาจริง +ความหมายเพียงว่า เมื่อศาลได้พิเคราะห์ถึงเหตุผล และพฤตติการณ์อันจะนำมาประกอบการแปลแล้ว กรณียังมีข้อสงสัยอยู่ จึงให้ตีความไปตามหลักที่กล่าวในมาตรา + แต่ไม่ได้หมายความว่าศาลจะใช้มาตรา ๑๑ แปลสัญญาโดยไม่เหลียวแลถึงเหตุผลและพฤตติการณ์ประกอบสัญญานั้นเสียเลย ศาลฎีกาได้พิจารณาสัญญาตามสำเนา+ฟ้องแล้ว เห็นมีข้อสงสัยอยู่ ในการแปลสัญญานี้ ชอบที่ศาลจะได้ฟังพะยานหลักฐานของคู่ความเพื่อประกอบการแปล
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปตามรูปความ แล้วพิพากษาใหม่

Share