คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยักยอกเงิน แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าเงินในรายการข้อ ก. และข้อ ง. ที่โจทก์บรรยายในฟ้องว่าจำเลยยักยอกเงินนั้น จำเลยมิได้รับตัวเงินไว้เป็นแต่รับหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งเป็นการเบิกหักผลักส่ง ดังนั้น จึงมิใช่เป็นการยักยอกเงินตามฟ้องของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง ๒ เป็นข้าราชการกรมสามัญศึกษาฯ จำเลยที่ ๑ เป็นหัวหน้าแผนกคลัง จำเลยที่ ๒ เป็นประจำแผนกคลัง ได้รับมอบหมายจากทางการให้เบิกจ่ายและรับรักษาเงินของรัฐบาล จำเลยสมคบกันยักยอกเงินหลายรายการตั้งแต่รายการข้อ ก. ถึง ข้อ ฉ. ในวันเวลาต่าง ๆ กัน รวมเป็นเงิน ๒๙๗,๑๐๔.๕๐ บาท ฯลฯ ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้ง ๒ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น เห็นว่าเงินในรายการข้อ ก. ข้อ ง. นั้น ปรากฏว่า จำเลยมิได้รับเงินไว้เป็นแต่ได้รับหลักฐานเป็นหนังสือซึ่งเป็นการเบิกหักผลักส่ง จึงไม่มีเงินที่จำเลยจะยักยอกได้ตามข้อกล่าวหาในฟ้องและเห็นว่า รูปคดียังไม่แน่ใจว่าจำเลยที่ ๑ สมคบกับจำเลย ที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ผู้เดียวมีเจตนาทุจริตยักยอกเงินจำนวนเพียง ๒๗,๙๕๐ บาท ไปพิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๑๓๑,๗๑ พ.ร.บ.อนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๒ เรียงกะทงความผิดให้วางโทษรวมทุกกะทงความผิดมีกำหนด ๗ ปี ฯลฯ
โจทก์อุทธรณ์ว่า ใบสำคัญเบิกหักผลักส่งถือได้ว่าเป็นตัวเงินที่จำเลยยักยอก จำเลยที่ ๑ ร่วมกระทำผิดด้วย
จำเลยที่ ๒ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ อีกด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าเงินตามฟ้องข้อ ก. ๕,๐๐๐ บาท ๘,๐๐๐ บาทกับ ๒๔,๑๕๔.๕๐ บาท และตามฟ้องข้อ ง. เงิน ๑๑๕,๐๐๐ บาท นั้น จำเลยที่ ๒ มิได้รับตัวเงินไว้ เป็นแต่รับหลักฐานเป็นหนังสือซึ่งเป็นการเบิกหักผลักส่ง โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยักยอกเงิน โดยมิได้ลงบัญชีเงินสดและมิได้จัดการนำส่งฝากธนาคาร ดังนั้น เงินตามฟ้องข้อ ก. และข้อ ข. รายที่จำเลยมิได้รับเป็นตัวเงิน จึงมิใช่เป็นการยักยอกเงิน ส่วนเงิน ๒๗,๙๕๐ บาทนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเป็นการส่งใช้เงินที่ได้ยืมไป โจทก์ฟ้องจำเลยโดยยังมิได้มีการคิดบัญชีให้เห็นแน่นอนว่า ถ้าคิดหักกันแล้ว ไม่มีเงินของจำเลยเกี่ยวค้างอยู่ คดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยยักยอก พิพากษายืน

Share