คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1468/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าเดือนละ 150 บาท และเรียกค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาทนับจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกจากตึกพิพาทเสร็จสิ้น โจทก์มิได้เรียกร้องค่าเสียหายนี้มาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่น หากแต่เรียกร้องมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง
โจทก์เป็นผู้รับโอนที่ดินและตึกแถวที่พิพาทโดยสุจริตจากผู้จัดการมรดกของเจ้าของที่ดินพิพาทเดิม แม้ว่าจะมีสัญญาต่างตอบแทนกันอยู่ระหว่างเจ้าของที่ดินพิพาทเดิมกับจำเลยนอกเหนือไปจากสัญญาเช่า สัญญาต่างตอบแทนนี้ก็เพียงแต่ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิ อันมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญาด้วยกันเองเท่านั้น สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาต่างตอบแทนนั้นหาได้โอนไปยังผู้รับโอนทรัพย์ที่พิพาทด้วยไม่
หมายเหตุ วรรค 1 วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่
( ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2518 )

ย่อยาว

คดีทั้ง ๓ สำนวนนี้พิจารณารวมกัน โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้บอกเลิกการเช่าตึกแถวพิพาทกับจำเลย และให้จำเลยออกไปจากตึกแถวพิพาท แต่จำเลยขัดขืน ทำให้โจทก์เสียหายเพราะมีผู้เสนอขอเช่าตึกแถวพิพาทในราคาเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยแต่ละสำนวนและบริวารขนย้ายออกจากตึกแถวพิพาท และให้จำเลยแต่ละสำนวนใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาทนับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกจากตึกแถวพิพาท
จำเลยทั้ง ๓ สำนวนให้การมีใจความเป็นทำนองเดียวกันว่า จำเลยได้ตกลงเช่าตึกแถวพิพาทจากผู้เช่าเดิมมีกำหนด ๒๐ ปี โดยจำเลยออกค่าก่อสร้างเอง สัญญาเช่าจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน และได้เช่าตึกแถวที่พิพาทมายังไม่ครบกำหนด ๒๐ ปีตามสัญญา โจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดจากเจ้าของที่ดินเดิมจริง ๆ แม้จะได้มีการโอนกรรมสิทธิ์กันก็เป็นการสมยอมกันโดยไม่สุจริต หากโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาก็ต้องรับมาทั้งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเดิม จะฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้ เพราะอายุการเช่าตามสัญญาต่างตอบแทนยังไม่ครบกำหนด ที่โจทก์อ้างว่ามีผู้จะเช่าตึกแถวที่พิพาทในอัตราไม่น้อยกว่าเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ไม่เป็นความจริง หากโจทก์จะเสียหายจริงก็เสียหายไม่เกินกว่าอัตราค่าเช่าตามสัญญาเท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า สัญญาเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา แต่สัญญานี้เป็นเพียงบุคคลสิทธิ ไม่ตกติดไปกับตัวทรัพย์ด้วย โจทก์ได้รับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยสุจริต มีอำนาจฟ้องจำเลย ให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ ๑,๐๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกไปจากตึกแถวพิพาท
จำเลยทั้ง ๓ สำนวนอุทธรณ์ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินและตึกแถวที่พิพาทไว้จริง และมีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่จำเลยได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องไม่สุจริต ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าเจ้าของที่ดินได้ตกลงให้จำเลยเช่า ๒๐ ปี ถ้าจำเลยได้ออกเงินค่าก่อสร้างไป ก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับผู้ให้เช่าเดิม สัญญาต่างตอบแทนเป็นบุคคลสิทธิ มีผลระหว่างจำเลยกับผู้ให้เช่าเดิม ไม่ผูกพันโจทก์ ค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้เป็นการสมควรแล้ว พิพากษายืน
จำเลยทั้ง ๓ สำนวนฎีกาทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีทั้ง ๓ สำนวนนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าเดือนละ ๑๕๐ บาท และเรียกค่าเสียหายเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาทนับจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกจากตึกพิพาทเสร็จสิ้น ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงลงมติว่ากรณีนี้ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ วรรค ๒ อันเป็นข้อยกเว้นของบทบัญญัติที่ว่า คดีเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้ แม้ว่าโจทก์จะเรียกร้องค่าเสียหายในอนาคตมาด้วยเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาทก็ตาม โจทก์มิได้เรียกร้องค่าเสียหายนี้มาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่น หากแต่เรียกร้องมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ของจำเลยด้วยนั้นจึงเป็นการมิชอบ และต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยในคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาในข้อเท็จจริงของจำเลยต่อไป เพราะไม่มีสิทธิฎีกาที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาต่างตอบแทนรายพิพาทนี้ผูกพันโจทก์ด้วย เห็นว่าสัญญาต่างตอบแทนนี้เพียงแต่ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิอันมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญาด้วยกันเองเท่านั้น สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาต่างตอบแทนนี้หาได้โอนไปยังผู้รับโอนทรัพย์ที่พิพาทด้วยไม่ โจทก์จึงไม่ถูกผูกพันโดยสัญญานี้แต่ประการใด
พิพากษายืนในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share