คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1464/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์มิได้รับใบอนุญาตตั้งโรงรับจำนำตามกฎหมายโจทก์ก็ไม่มีสิทธิเสียภาษีธุรกิจเฉพาะประเภทโรงรับจำนำแต่จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม การที่โจทก์ไปขอจดทะเบียนเสียภาษีธุรกิจเฉพาะประเภทโรงรับจำนำต่อเจ้าพนักงานของ จำเลยที่ 1 ซึ่งมีสมุห์บัญชีอำเภอเมืองชลบุรี ปฏิบัติราชการแทนสรรพากรจังหวัดชลบุรี รับจดทะเบียนให้ ซึ่งเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบเอกสารและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ก่อนจดทะเบียน น่าจะตรวจสอบให้ถูกต้องเสียก่อนแล้วจึงจดทะเบียนให้ การที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1ไม่โต้แย้งหรือไม่ตรวจสอบให้ถูกต้องก่อนจดทะเบียนดังกล่าวจึงน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โจทก์เข้าใจผิดโดยสุจริตว่าการขอจดทะเบียนดังกล่าวถูกต้องแล้ว ทั้งระบบภาษี มูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นระบบภาษีใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้บังคับในขณะนั้น น่าเชื่อว่าการเสียภาษีโดยผิดพลาดครั้งนี้ของโจทก์ได้กระทำไปโดยไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี สมควรที่จะ งดเบี้ยปรับให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ไม่ควรรับผิดในเงินเพิ่มและเบี้ยปรับขอให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.73.1) เลขที่ 5200010/5/102563, 102564และ 102583 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2540 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ กค 0845/8770 ลงวันที่ 22 กันยายน 2540
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์ทราบอยู่แล้วว่าตนเองมิได้รับอนุญาตตั้งโรงรับจำนำแต่ยังคงฝ่าฝืนเลี่ยงการดำเนินกิจการให้เป็นไปในลักษณะรับซื้อฝากสินค้าแทนการรับจำนำสินค้าอันเป็นการเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากร จึงไม่มีเหตุที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.73.1) เลขที่ 5200010/5/102563, 5200010/5/102564 และ5200010/5/102583 ลงวันที่ 28 มกราคม 2540 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ กค 0845/8770/22 กย. 2540 ลงวันที่ 19 กันยายน 2540เฉพาะในส่วนเบี้ยปรับ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่มีว่า มีเหตุสมควรงดเบี้ยปรับให้โจทก์ตามคำวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลางหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ประกอบกิจการโรงรับจำนำโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยโรงรับจำนำ แต่ได้จดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะประเภทการประกอบกิจการโรงรับจำนำไว้เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2535ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 297 และโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะและชำระภาษีธุรกิจเฉพาะตลอดมา เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งการตรวจปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะของโจทก์เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2537 เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ได้แจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนสิงหาคม กันยายน และตุลาคม 2537 พร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89(5) และ 89/1 แก่โจทก์ โดยเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีของจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ไปทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มย้อนหลังแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมิได้ประเมินโดยเหตุที่ว่าโจทก์ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และตามคำอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์มิได้โต้แย้งจำนวนรายรับที่มีการประเมินกับไม่ได้ขอให้งดหรือลดเงินเพิ่มแต่ได้อุทธรณ์ว่าโจทก์เสียภาษีถูกต้องแล้ว การประเมินไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนและขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับ เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิเสียภาษีธุรกิจเฉพาะประเภทโรงรับจำนำเพราะโจทก์มิได้รับใบอนุญาตตั้งโรงรับจำนำตามกฎหมาย แต่จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม การที่โจทก์ไปขอจดทะเบียนเสียภาษีธุรกิจเฉพาะประเภทโรงรับจำนำต่อเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีสมุห์บัญชีอำเภอเมืองชลบุรีปฏิบัติราชการแทนสรรพากรจังหวัดชลบุรีรับจดทะเบียนให้ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 297 นั้นเห็นได้ว่า เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบเอกสารและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ก่อนจดทะเบียน น่าจะตรวจสอบให้ถูกต้องเสียก่อนแล้วจึงจดทะเบียนให้ การที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1ไม่โต้แย้งหรือไม่ตรวจสอบให้ถูกต้องก่อนจดทะเบียนดังกล่าวจึงน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โจทก์เข้าใจผิดโดยสุจริตว่าการขอจดทะเบียนดังกล่าวถูกต้องแล้ว ทั้งระบบภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นระบบภาษีใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้บังคับในขณะนั้นจึงน่าเชื่อว่าการเสียภาษีโดยผิดพลาดครั้งนี้ของโจทก์ได้กระทำไปโดยไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีจึงสมควรที่จะงดเบี้ยปรับให้ส่วนข้อที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้แตกต่างจากข้อเท็จจริงของบริษัทสินเพิ่มสุข จำกัด เพราะโจทก์รีบจดทะเบียนเลิกบริษัทโดยไม่แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบจึงไม่สมควรงดเบี้ยปรับนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์จดทะเบียนเลิกบริษัทยังไม่เป็นเหตุให้รับฟังได้ว่าโจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีที่ศาลภาษีอากรกลางใช้ดุลพินิจงดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์นั้นนับว่าเป็นธรรมและเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share