แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ระหว่างพิจารณาคดี แพทย์ผู้ตรวจจำเลยวินิจฉัยว่าจำเลยป่วยเป็นโรคจิต แต่ขณะเกิดเหตุสันนิษฐานว่าพอรู้ผิดชอบบ้าง ขณะตรวจอาการจิตสงบพอต่อสู้คดีได้ ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีต่อไป ชั้นพิจารณาจำเลยมิได้นำแพทย์ผู้ตรวจจำเลยมาสืบประกอบรายงานการวินิจฉัยดังกล่าวเพื่อให้โจทก์มีโอกาสถามค้านว่าขณะเกิดเหตุจำเลยมีจิตบกพร่องจริงหรือไม่ ค. ภริยาจำเลย พยานโจทก์ ไม่ได้เบิกความว่าจำเลยมีอาการโรคจิตมาก่อน และศาลชั้นต้นไม่ได้รับฟังรายงานการวินิจฉัยของแพทย์ ทั้งจำเลยมิได้อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าว ดังนี้ไม่อาจรับฟังว่าขณะกระทำผิดจำเลยมีจิตบกพร่อง จึงลงโทษจำเลยน้อยลงตาม ป.อ. มาตรา 65 วรรคสองไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289, 33, 83, 80, 91, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289 ประกอบด้วยมาตรา 80 และ 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 กระทงแรกเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในความครอบครอง จำคุก 1 ปี ฐานพกพาอาวุธปืนไม่มีทะเบียน จำคุก 6 เดือนรวมทุกกระทงแล้วให้ลงโทษประหารชีวิตเพียงสถานเดียว จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(2)คงลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยต่างไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง 72 วรรคหนึ่ง และ72 ทวิ วรรคสอง ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้จำคุก30 ปี รวมจำคุก 31 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 15 ปี 9เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่าตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้มีอาวุธปืนลูกซองเดี่ยวไม่มีหมายเลขทะเบียน จำนวน 1 กระบอก กับกระสุนปืนลูกซองขนาดเบอร์ 12 จำนวน5 นัด ไว้ในความครอบครอง และพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุสมควรแล้วจำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนลูกซองดังกล่าวและปืนคาร์บินจำนวนหลายกระบอกยิงนายฉัตรชัย กฤษดานนท์ นายวิเชียร บุญเปียนายบัลลังก์ เทพแสน นางแมว จิตรซื่อ และนางตุ๋ง นาสุข ซึ่งนั่งมาในรถยนต์กระบะ โดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เนื่องจากโกรธแค้นนายฉัตรชัยที่บังคับซื้อที่ดินจากจำเลยในราคาถูกและยังบังคับซื้อที่ดินจากพวกของจำเลยอีก เป็นเหตุให้กระสุนปืนถูกนายฉัตรชัย นายวิเชียร กับนายบัลลังก์ ถึงแก่ความตายและถูกนางแมวกับนางตุ๋งได้รับอันตรายสาหัส คดีมีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ขณะจำเลยกระทำผิด จำเลยมีจิตบกพร่องอันจะลงโทษจำเลยน้อยลงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง หรือไม่
พิเคราะห์แล้วได้ความว่า ในระหว่างพิจารณาคดีนี้ ทนายความจำเลยซึ่งเป็นทนายความขอแรงให้ช่วยว่าความยื่นคำร้องต่อศาลว่าตนพบจำเลยเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ปรากฏว่าจำเลยไม่พูดจา มีลักษณะของคนวิกลจริต ไม่อาจต่อสู้คดีได้ ขอให้ศาลชั้นต้นส่งตัวจำเลยไปยังโรงพยาบาลโรคจิตเพื่อตรวจสอบว่าจำเลยวิกลจริตหรือไม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปโรงพยาบาลนิติจิตเวชตรวจดูอาการของจำเลย ต่อมานายจินดา โสมนัส แพทย์ประจำโรงพยาบาลนิติจิตเวชผู้ตรวจอาการจำเลยทำรายงานการวินิจฉัยโรคลงความเห็นว่า จำเลยป่วยเป็นโรคจิต แต่ขณะเกิดเหตุสันนิษฐานตามหลักวิชาการว่า พอรู้ผิดชอบได้บ้างขณะนี้อาการจิตสงบ พอต่อสู้คดีได้ ศาลชั้นต้นจึงได้พิจารณาคดีต่อไปโดยสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลย และพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง วางโทษจำคุกตลอดชีวิต เห็นว่า แม้จะปรากฏตามรายงานวินิจฉัยโรคของแพทย์ว่า จำเลยป่วยเป็นโรคจิต แต่จำเลยก็มิได้นำแพทย์ผู้ตรวจอาการจำเลยมาสืบประกอบรายงานวินิจฉัยดังกล่าวเพื่อให้โจทก์มีโอกาสถามค้านข้อเท็จจริง ให้แน่ชัดว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยมีจิตบกพร่องจริงหรือไม่ ทั้งนางครัว อื่นเทศ ภริยาจำเลยซึ่งมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ก็ไม่ได้เบิกความในพฤติกรรมของจำเลยว่ามีอาการโรคจิตมาก่อน และศาลชั้นต้นมิได้รับฟังรายงานการวินิจฉัยของแพทย์แต่อย่างใด จำเลยก็ไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ว่า ขณะจำเลยกระทำผิดจำเลยมีจิตบกพร่องที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกรายงานการวินิจฉัยโรคของแพทย์ขึ้นวินิจฉัยว่าจำเลยป่วยเป็นโรคจิต และลงโทษจำเลยน้อยลงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 65 วรรคสอง นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.