คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยให้การว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้อง เดิมจำเลยถูกศาลพิพากษาให้ชำระหนี้ให้สามีโจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินเดือนฯ ของจำเลยต่อนายจ้างของจำเลย เมื่อนายจ้างของจำเลยส่งเงินมายังกรมบังคับคดีครบตามจำนวนหนี้แล้ว สามีโจทก์จึงขอถอนการอายัดและให้จำเลยไปรับเงินจากกรมบังคับคดีมาให้สามีโจทก์ แต่สามีโจทก์เกรงว่าเมื่อจำเลยรับเงินแล้วจะไม่นำมาให้สามีโจทก์ จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ไว้แก่โจทก์ จำเลยได้รับเงินจากกรมบังคับคดีและมอบให้สามีโจทก์แล้วสามีโจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้ แต่โจทก์กลับนำเอาสัญญากู้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังจำเลยต่อสู้ ศาลย่อมวินิจฉัยได้ว่าสัญญากู้ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาลวงและตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118
จำเลยนำสืบข้อเท็จจริงตามคำให้การดังกล่าวได้เพราะเป็นการนำสืบถึงความไม่มีมูลหนี้ที่จะให้จำเลยรับผิดหรืออีกนัยหนึ่งหนี้ที่ระบุในสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไป ๒๔,๐๐๐ บาท ครบกำหนดใช้คืนแล้วแต่จำเลยไม่ใช้คืน จึงขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้ท้ายฟ้อง สัญญากู้ดังกล่าวเกิดจากโจทก์และสามีโจทก์หลอกลวงให้จำเลยทำขึ้นโดยแต่เดิมจำเลยเป็นหนี้สามีโจทก์ ตามคำพิพากษา สามีโจทก์ได้อายัดเงินค่าจ้างของจำเลยไปยังนายจ้างของจำเลย เมื่อได้รับเงินครบแล้วสามีโจทก์ให้จำเลยไปรับเงินจากกรมบังคับคดีมามอบให้สามีโจทก์ แต่เกรงว่าจำเลยรับเงินแล้วจะไม่นำมาให้จึงได้ให้จำเลยทำสัญญากู้ดังกล่าว ต่อมาจำเลยได้รับเงินจากกรมบังคับคดีมามอบให้สามีโจทก์แล้ว โจทก์กลับนำเอาสัญญากู้ดังกล่าวมาฟ้องเป้นคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์และสามีโจทก์หลอกลวงจำเลยให้เขียนสัญญากู้ให้เป็นประกัน จำเลยมิได้รับเงินตามสัญญากู้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าสัญญากู้เกิดโดยการแสดงเจตนาลวงนั้นไม่ชอบ เพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้แล้วว่า สัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องนี้ไม่ได้มีการกู้และรับเงินกันจริงเป็นแต่ทำขึ้นเพื่อป้องกันจำเลยโกงสามีโจทก์เท่านั้น ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังจำเลยต่อสู้ การที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าสัญญากู้เกิดโดยการแสดงเจตนาลวงจึงถูกต้องแล้ว
โจทก์ฎีกาข้อต่อไปว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ว่าสัญากู้เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๘ เพราะเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างโจทก์จำเลยและสามีโจทก์นั้นไม่ถูกต้องศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๘ วรรคแรกบัญญัติว่า “การแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งท่านว่าเป็นโมฆะ…..” การแสดงเจตนาลวงของจำเลยซึ่งเป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่งกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งคือโจทก์และสามีโจทก์ ผลของการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับคู่กรณีดังกล่าวทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ เพราะทั้งสองฝ่ายไม่มีเจตนาที่จะผูกนิติสัมพันธ์ต่อกัน ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าสัญญากู้เป็นโมฆะจึงถูกต้องแล้ว
โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่า สัญญากู้ได้ระบุว่าจำเลยผู้กู้รับเงินไปเสร็จแล้วการที่จำเลยนำสืบว่าไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขพยานเอกสาร ศาลฎีกาเห็นว่าข้อนำสืบของจำเลยเป็นการนำสืบถึงความไม่มีมูลหนี้ที่จะให้จำเลยรับผิดหรืออีกนัยหนึ่งหนี้ที่ระบุในสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ การนำสืบของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๙๔ วรรคท้าย
พิพากษายืน

Share