คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่า จำเลยยอมผ่อนชำระเงินให้โจทก์เป็นรายเดือน ๆ ละ 1,200 บาท เริ่มแต่วันที่ 5 มิถุนายน และต่อไปภายในวันที่ 5 ของเดือน จนกว่าจะชำระเสร็จ ผิดนัด 2 งวดติดกันยอมให้บังคับคดี ปรากฏว่าในวันที่ 5 มิถุนายน จำเลยนำเงินมาผ่อนชำระตามสัญญา ครั้นถึงวันที่ 5 กรกฎาคม ครบกำหนด จำเลยไม่นำเงินมาชำระแต่พอถึงวันที่ 5 สิงหาคม จำเลยนำมาชำระ และถึงวันที่ 5 กันยายน จำเลยไม่นำมาชำระอีกดังนี้ เมื่อข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความมีปรากฏว่า จำเลยจะผ่อนชำระเป็นรายเดือน เริ่มต้นแต่วันที่ 5 มิถุนายน และเดือนต่อ ๆ ไปภายในวันที่ 5 ของเดือน การที่จำเลยไม่ชำระเงินภายในวันที่ 5 กรกฎาคม แต่มาชำระเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม เป็นเงินที่จำเลยชำระประจำเดือนกรกฎาคม และเงินที่จำเลยจะต้องชำระประจำเดือนสิงหาคม จึงยังคงค้างชำระอยู่ เมื่อจำเลยค้างชำระเงินประจำเดือนสิงหาคมอยู่หนึ่งเดือนแล้ว ต่อมาเมื่อภายในวันที่ 5 กันยายน จำเลยไม่ชำระอีกเช่นนี้ก็ต้องถือว่าจำเลยได้ค้างชำระในงวดประจำเดือนกันยายนด้วย จึงเป็นการผิดนัดสองงวดติดกันแล้ว ศาลย่อมออกหมายบังคับคดีให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างตามคำพิพากษาด้วย

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยยอมชำระหนี้ให้โจทก์ ๓๐,๐๐๐ บาท โดยจะผ่อนชำระให้เป็นรายเดือน ๆ ละ ๑,๒๐๐ บาท เริ่มแต่วันที่ ๕ มิถุนายน เป็นต้นไป และต่อมาก็ภายในวันที่ ๕ ของเดือนจนกว่าจะชำระเสร็จ การชำระจะนำเงินมาวางต่อศาล ผิดนัดสองงวดติดกันยอมให้บังคับคดีของเงินที่ค้างชำระ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า ถึงกำหนดวันที่ ๕ มิถุนายน จำเลยนำเงินมาวางศาลตามสัญญา พอวันที่ ๕ กรกฎาคม ครบกำหนดงวดที่ ๒ จำเลยไม่นำเงินมาวางศาล ถึงกำหนดงวดที่ ๓ วันที่ ๕ สิงหาคม จำเลยนำเงินมาวางศาล ถึงกำหนดงวดที่ ๔ วันที่ ๕ กันยายน จำเลยไม่นำเงินมาวาง สรุปแล้วจำเลยนำเงินมาวางเดือนเว้นเดือนตลอดมา รวมที่จำเลยขาดชำระเป็นเวลา ๗ เดือน ทำให้โจทก์เสียหายเป็นจำนวน ๘,๔๐๐ บาท ขอให้ออกหมายบังคับจำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดตามคำพิพากษา
จำเลยยื่นคำแถลงว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ยอมให้จำเลยผ่อนชำระเดือนละ ๑,๒๐๐ บาท ผิดนัดสองงวดติดกันจึงให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด จำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ถูกต้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยยังไม่เคยผิดนัดสองงวดติดต่อกันเลย จำเลยจึงไม่ผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การที่จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์เดือนเว้นเดือน เจ้าหนี้ได้ชำระหนี้ตามสัญญายอมเพียง ๘ งวดเท่านั้น จำเลยคงค้างชำระหนี้แก่โจทก์อีก ๗ งวด ถือได้ว่าจำเลยผิดนัดค้างชำระหนี้เกินกว่า ๒ งวดติด ๆ กัน ย่อมเป็นเหตุให้โจทก์บังคับคดีได้ตามคำพิพากษาตามยอม ให้ออกหมายบังคับคดี
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่า จำเลยจะผ่อนชำระเป็นรายเดือน ๆ ละ ๑,๒๐๐ บาท เริ่มแต่วันที่ ๕ มิถุนายน เป็นต้นไปและต่อไปภายในวันที่ ๕ ของเดือน ผิดนัดสองงวดติดกันยอมให้บังคับคดี ย่อมหมายความว่า การชำระต้องชำระเป็นรายเดือน ๆ ละ ๑,๒๐๐ บาท โดยเริ่มต้นแต่วันที่ ๕ มิถุนายน และเดือนต่อ ๆ ไปก็ให้ชำระเป็นรายเดือนภายในวันที่ ๕ ของเดือนที่ถัดต่อไป การที่จำเลยชำระเดือนหนึ่งแล้วเว้นไม่ชำระเดือนหนึ่งนั้น เป็นการชำระ ๒ เดือนต่อครั้งหนึ่ง จึงมิใช่เป็นการชำระเป็นรายเดือนและต่อไปภายในวันที่ ๕ ของเดือนตามความหมายในสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉะนั้น การที่จำเลยไม่ชำระเงินภายในวันที่ ๕ กรกฎาคม แต่มาชำระเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม เช่นนี้ เงินที่จำเลยชำระเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคมนั้นจะถือว่าเป็นเงินที่ชำระประจำเดือนสิงหาคมย่อมไม่ได้ เพราะจำเลยจะต้องชำระเงินรายเดือนประจำเดือนกรกฎาคมเสียก่อน เหตุนี้เงินที่จำเลยชำระเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคมนั้นต้องถือว่าเป็นเงินที่ชำระประจำเดือนกรกฎาคมนั่นเอง ส่วนเงินที่จำเลยจะต้องชำระประจำเดือนสิงหาคมภายในวันที่ ๕ สิงหาคม จำเลยจึงยังคงค้างชำระอยู่ เมื่อจำเลยค้างชำระเงินประจำเดือนสิงหาคมอยู่หนึ่งเดือนแล้ว ต่อมาเมื่อภายในวันที่ ๕ กันยายน จำเลยไม่ชำระอีกเช่นนี้ก็ต้องถือว่า จำเลยได้ค้างชำระในงวดประจำเดือนกันยายนด้วย จึงเป็นการค้างชำระ ๒ เดือนติดกัน และเป็นการผิดนัดสองงวดติดกันแล้ว ศาลย่อมออกหมายบังคับจำเลยชำระหนี้ที่ค้างตามคำพิพากษาได้ พิพากษายืน

Share