แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ออกเงินซื้อที่ดินร่วมกับจำเลยโดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อสามีโจทก์แปลงชาติเป็นไทยได้เรียบร้อยแล้ว จำเลยจะโอนโฉนดใส่ชื่อโจทก์ร่วมด้วย ดังนี้ หาเป็นสัญญาที่ผิดกฎหมายไม่ และต่อมาเมื่อสามีโจทก์แปลงชาติเป็นไทยได้เรียบร้อยแล้ว จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 4706 ร่วมกับจำเลยที่ 1-2 กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 1-2 กลับทุจริตโอนขายที่ดินแปลงนี้ให้จำเลยทั้ง 3ไป โดยจำเลยที่ 3 ก็ทราบดีว่าโจทก์เป็นเจ้าของร่วมด้วย จึงขอให้ทำลายการโอน และขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 4706 ครึ่งหนึ่ง การโอนซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1-2 กับจำเลยที่ 3 ใช้ได้เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1-2 ครึ่งหนึ่งซึ่งยังคงเป็นของจำเลยที่ 3 ให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งร่วมกับจำเลยที่ 3
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อกฎหมายที่จำเลยคัดค้านนี้ เห็นว่าการที่โจทก์ออกเงินซื้อที่ดินร่วมกับจำเลย โดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อสามีโจทก์แปลงชาติเป็นไทยได้เรียบร้อยแล้ว จำเลยจะโอนโฉนดใส่ชื่อโจทก์ร่วมด้วยเช่นนี้ หาเป็นสัญญาที่ผิดกฎหมายไม่ และต่อมาเมื่อสามีโจทก์แปลงชาติเป็นไทยได้เรียบร้อยแล้ว จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น และเมื่อการโอนรายนี้จำเลยที่ 3 รับโอนโดยไม่สุจริตการโอนก็ย่อมไม่กระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์
จึงพิพากษายืน