แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กำหนดเวลาหกเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 533วรรคแรก เป็นอายุความ เมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อฎีกามิได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2526)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นสามีภรรยากัน จำเลยที่ 3 เป็นบุตรจำเลยที่ 1 ที่ 2 จำเลยที่ 4 เป็นพี่ชายจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นหลานโจทก์โจทก์อุปการะเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก โจทก์จดทะเบียนยกที่นาโฉนดเลขที่ 1623ให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยเสน่หา บัดนี้โจทก์ชราภาพและยากไร้ ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ประพฤติเนรคุณต่อโจทก์และหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง เมื่อเดือนมิถุนายน 2521 จำเลยที่ 1 ที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 โดยเสน่หาและโดยไม่สุจริต และจำเลยที่ 3ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 4 โดยฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนยกให้ระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2กับที่ 3 และเพิกถอนการจดทะเบียนการขายระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4แล้วให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์จดทะเบียนยกที่ดินให้โดยมีค่าตอบแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่เคยประพฤติเนรคุณหรือหมิ่นประมาทโจทก์ จำเลยที่ 3ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 4 ก็ด้วยภาวะยากจน และเนื่องจากจำเลยที่ 1 ที่ 2ได้ยืมเงินจากจำเลยที่ 4 เพื่อชำระหนี้แทนโจทก์และให้โจทก์เป็นการตอบแทนขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินตามฟ้องระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 แล้วให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินที่กลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดที่ 1623 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 ด้วยให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม แล้วให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 โอนที่พิพาทกลับคืนแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2โดยเสน่หา จำเลยที่ 1 ได้หมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง จำเลยที่ 1 ที่ 2ไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาที่โจทก์ยากไร้และจำเลยยังสามารถจะให้ได้และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ทราบเหตุประพฤติเนรคุณแล้วมาฟ้องเป็นเวลาเกิน 6 เดือนนับตั้งแต่วันทราบเหตุคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า กำหนดเวลาหกเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 533 วรรคแรกเป็นอายุความ เมื่อความข้อนี้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน