คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1458/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 นั่งรถยนต์แท็กซี่ซึ่งจำเลยที่ 1 กับ ส.ลักมาเพื่อจะไปเที่ยวด้วยกัน โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถเอง ดังนี้รถแท็กซี่ยังอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 กับ ส.จำเลยที่2 มิได้กระทำการใดอันเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 กับ ส.ในการพารถแท็กซี่ไป พฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานรับของโจร.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันลักรถยนต์ ราคา 150,000 บาทหรือมิฉะนั้นก็ร่วมกันรับของโจรรถยนต์ดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335(1) (7), 357
ก่อนสอบถามคำให้การจำเลย จำเลยที่ 1 หลบหนี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 และที่ 4 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357, 83 จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4มีอายุ 13 ปีเศษ 14 ปีเศษ และ 15 ปีเศษ ตามลำดับ พิจารณาความรู้สึกผิดชอบและสิ่งแวดล้อมแล้ว เห็นว่ายังไม่สมควรพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3และที่ 4 ให้จัดการกับจำเลยทั้งสองเช่นเดียวกับจำเลยที่ 2ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่าร้ายแรง มีลักษณะส่อไปในทางเป็นแก๊งในการกระทำผิด ให้ส่งตัวจำเลยทั้งสามไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางเพื่อรับการฝึกอบรมขัดเกลานิสัยและฝึกอาชีพมีกำหนดคนละ 6 เดือน นับแต่วันมีคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75, 74
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ได้นั่งรถยนต์แท็กซี่หมายเลขทะเบียน 1ท-2222 กรุงเทพมหานคร ของนายวิชัย ศิริระพรผู้เสียหาย ซึ่งถูกคนร้ายลักไป และได้ถูกจับพร้อมกับพวกที่นั่งไปในรถแท็กซี่คันดังกล่าว คดีคงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเพียงว่าจำเลยที่ 2ได้ร่วามกระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้องหรือไม่ …พยานหลักฐานโจทก์คงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งร่วมกับนายสุวัฒน์ลักรถแท็กซี่ของกลางเป็นผู้ขับรถคันนั้นในคืนเกิดเหตุตามข้อนำสืบของจำเลยที่ 2และข้อเท็จจริงได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 2 นั่งรถแท็กซี่คันที่จำเลยที่ 1 กับนายสุวัฒน์ลักมาเพื่อจะไปเที่ยวที่จังหวัดนครปฐมรถแท็กซี่ของกลางยังคงอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 กับนายสุวัฒน์ซึ่งร่วมกันลักมา ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 2 กระทำการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 กับนายสุวัฒน์พารถแท็กซี่ของกลางไป เพราะจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนร้ายที่ลักทรัพย์เป็นผู้ขับรถคันนั้นไปเองพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 นั่งไปในรถแท็กซี่ของกลางก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ดังนั้น คดีจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน”.

Share