แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในฎีกาของจำเลยยอมรับเป็นปริยายว่า นาง ว.และนางร. อยู่ที่บ้านของ ท.โดยอ้างคำเบิกความของนางว.ในข้อที่ว่าถูกท.เอาปืนจี้ห้ามมิให้ขานรับคำร้องเรียกของ ส. ด้วยเกรงว่าหญิงทั้งสองจะเป็นหน้าม้าให้คนร้ายมาปล้นทรัพย์ อันเป็นการอ้างเอาคำเบิกความของนาง ว. เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนว่ามีความระแวงว่าจะมีคนร้ายมาปล้นแต่แรก ดังนี้คำเบิกความของนาง ว.และนางร. พยานโจทก์รับฟังได้
การที่ จ. ผู้ตายถูกกระสุนปืนที่ขมับขวาจนมันสมองไหล และ อ.ผู้ตายถูกกระสุนปืนกลางศีรษะกระสุนทะลุกระโหลกศีรษะเป็นแผลฉกรรจ์มาก ผู้ตายทั้งสองน่าจะสิ้นสติฟุบอยู่กับที่คือในเรือตรงที่พบศพผู้ตาย ไม่มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าผู้ตายทั้งสองขึ้นมาบนฝั่ง เมื่อถูกยิงแล้วจึงกระโดดกลับลงไปในเรือ กรณีน่าจะเป็นว่าผู้ตายทั้งสองถูกยิงขณะเรือลอยลำอยู่ภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยซึ่งอยู่ที่บ้านบนฝั่งและเกรงว่าฝ่ายผู้ตายจะมาปล้นทรัพย์จึงหามีไม่ การยิงของจำเลยจึงไม่ใช่การป้องกันตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แม้ท้องที่ที่เกิดเหตุจะมีการปล้นทรัพย์ชิงทรัพย์กันบ่อยก็ตามอย่างไรก็ดีพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวศาลย่อมลงโทษจำเลยขั้นต่ำสุดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้
เมื่อปรากฏว่าการกระทำของจำเลยไม่ต้องด้วย ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 กรณีจึงไม่ต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำไปด้วยความตื่นเต้น ตกใจหรือกลัวตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา69 หรือไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,และ 288, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ลงโทษจำคุก 15 ปี จำเลยเข้ามอบตัวในวันเกิดเหตุพร้อมด้วยปืนที่ใช้ยิงและรับสารภาพว่ายิงจริง ชั้นพิจารณาก็รับว่ายิงจริงนับว่าเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกมีกำหนด7 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…จำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยยิงปืนไปนั้นโดยพฤติการณ์จำเลยน่าจะสงสัยว่า ฝ่ายผู้ตายเป็นพวกที่จะมาปล้นบ้านนางสาวทองสุด และในการยิงนั้นเป็นการป้องกันเพื่อให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภัยที่ใกล้จะถึงแล้ว จำเลยหามีความผิดตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่พิเคราะห์แล้ว ในชั้นสืบพยาน จำเลยนำสืบปฏิเสธว่าคืนวันที่ 2ติดต่อกับคืนวันที่ 3 พฤศจิกายน 2525 นางวันดีและนางวารีหรือหรั่งหาได้อยู่ที่บ้านของนางสาวทองสุดไม่ แต่ในฎีกาจำเลยยอมรับเป็นปริยายว่า นางวันดีและนางวารีอยู่ที่บ้านของนางสาวทองสุดทั้งนี้ โดยอ้างคำเบิกความของนางวันดีในข้อที่ว่าถูกนางสาวทองสุดเอาปืนจี้ห้ามมิให้ขานรับคำร้องเรียกของนายเสนาะ ด้วยเกรงว่าหญิงทั้งสองจะเป็นหน้าม้าให้คนร้ายมาปล้นทรัพย์ อันเป็นการอ้างเอาคำเบิกความของนางวันดีเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนว่ามีความระแวงว่าจะมีคนร้ายมาปล้นแต่แรก ดังนี้ คำเบิกความของนางวันดีและนางวารีพยานโจทก์จึงรับฟังได้ พยานโจทก์สองคนนั้นเบิกความว่าตนได้รับคำชวนของนายฟารุกหลายชายของจำเลยให้มาค้างคืนที่บ้านของนางสาวทองสุดมาแล้วก่อนเกิดเหตุครั้งหนึ่ง และครั้งที่เกิดเหตุอีกครั้งหนึ่งคำของนางวันดีและนางวารีจึงเจือคำนายเสนาะว่า วันที่ 2 พฤศจิกายน2525 ตนได้ขับเรือมาส่งนางวันดีและนางวารีที่บ้านเกิดเหตุหาไม่แล้วนายเสนาะจะขับเรือมาร้องเรียกนางวารีได้ถูกอย่างไร ฝ่ายผู้ตายเพียรตามหานางวารีถึงสองครั้งในเวลาห่างกันเพียง 2 ชั่วโมงผิดวิสัยของคนร้ายที่จะกระทำในสิ่งที่เป็นการเตือนให้เจ้าบ้านรู้ระวังตัว ตามพฤติการณ์ดังที่กล่าว น่าเชื่อว่านายเจตน์กับพวกว่าจ้างนายเสนาะให้พามาบ้านนางสาวทองสุดเพื่อรับนางวันดีภรรยาของนายเจตน์หาใช่มาเพื่อปล้นบ้านนางสาวทองสุดไม่ กรณีน่าจะมีเงื่อนงำอะไรสักอย่างที่นางวันดีและนางวารีพยานโจทก์และนางสาวทองสุดพยานจำเลยไม่ยอมเปิดเผยถึงสาเหตุที่แท้จริงที่นางสาวทองสุดไม่ยอมให้นางวารีขานรับคำร้องเรียกของนายเสนาะ อาจเกิดจากความวิตกห่วงใยนายฟารุกผู้ชักชวนนางวันดีและนางวารีให้มาค้างคืนที่บ้านนางสาวทองสุดก็ได้ จึงได้พยายามกีดกันมิให้นางวันดีและนางวารีออกไปพบฝ่ายผู้ตาย ตามพฤติการณ์แห่งคดี จำเลยไม่น่าสงสัยว่าฝ่ายผู้ตายจะมาปล้นทรัพย์ตามที่จำเลยฎีกา
ปัญหาต่อไปมีว่า ฝ่ายผู้ตายได้ขึ้นจากเรือสามคน คนหนึ่งถือปืนยาวจะเข้ามาที่บ้านนางสาวทองสุดจริงหรือไม่ อันเป็นข้อที่จะแสดงว่ามีภยันตรายใกล้จะถึงแล้วตามฎีกาเห็นว่า หากฝ่ายผู้ตายขึ้นจากเรือจะเข้าบ้าน และถูกยิงบนฝั่งจริงตามที่จำเลยนำสืบเมื่อกระสุนปืนถูกขมับขวา ลูกกระสุนทะลุถูกมันสมองจนมันสมองไหลนายเจตน์น่าจะสิ้นสติฟุบอยู่กับที่เสียแล้ว ไม่น่าจะกระโดดกลับลงเรือได้อีก ส่วนนายอดุลย์ถูกกระสุนปืนกลางศรีษะ กระสุนทะลุออกบริเวณศีรษะด้านหน้าขวา แผลกระสุนทะลุกระโหลกศีรษะ และยังมีแผลกระสุนที่โหนกแก้มขวา ดั้งจมูกซ้ายทะลุเข้ารูจมูก และที่ต้นคอด้านขวา ศาลฎีกาเห็นว่า เฉพาะแผลแรกก็ฉกรรจ์อยู่มากแล้ว นายอดุลย์น่าจะสิ้นสติฟุบอยู่กับที่เช่นเดียวกันกับนายเจตน์หาอาจจะกระโดดกลับลงเรืออีกได้ไม่ ข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบจึงขัดต่อเหตุผลรับฟังไม่ได้ กรณีน่าจะเป็นว่านายเจตน์ นายอดุลย์ นายจำนงค์ถูกยิงขณะเรือลอยลำอยู่ ฝ่ายผู้ตายยังมิได้ขึ้นฝั่ง เพราะฉะนั้น ภยันตรายที่ใกล้จะถึงจึงหามีไม่ การยิงของจำเลยจึงมิใช่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แม้คดีได้ความตามคำเบิกความของพันตำรวจโทไพโรจน์พนักงานสอบสวนว่าท้องที่ที่นางสาวทองสุดอยู่มีการปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์บ่อยจากคนบ้านสะพาน 7 ตำบลหน้าไม้ และก่อนเกิดเหตุนางสาวทองสุดถูกลักเครื่องเรือหรือเครื่องไถนาไปครั้งหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อภยันตรายใกล้จะถึงยังไม่เกิด ตามที่วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น จำเลยก็หาอาจยิงคนโดยปราศจากเหตุตามกฎหมายไม่ด้วยเหตุที่คดีได้ความตามคำพันตำรวจโทไพโรจน์นั่นเอง ศาลชั้นต้นจึงลงโทษจำเลยขั้นต่ำที่สุดตามที่กฎหมายบัญญัติแล้วยังลดโทษให้กึ่งหนึ่งเต็มตามอำนาจที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้ไว้นับว่าเป็นผลดีแก่จำเลยเป็นที่สุดอยู่แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยยิงไปด้วยความตื่นเต้น ตกใจ หรือกลัว ขอให้ศาลฎีกาไม่ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 นั้น เห็นว่าเมื่อการกระทำของจำเลยไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68เสียแล้ว กรณีก็หาจำเป็นต้องวินิจฉัยข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวอันเป็นข้อที่จะไม่ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 ไม่
ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยนั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.