แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์เพียงแก้กำหนดโทษโดยลดโทษให้หนึ่งในสี่ และยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย
จำเลยฎีกาว่า ในการนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เพราะไม่มีพยานหลักฐานอันใดที่ยืนยันว่าจำเลยมีหน้าที่รักษาทรัพย์หรือครอบครองทรัพย์นั้น ถือว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงาน เบียดบังทรัพย์ในความดูแลเป็นของตน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157ที่แก้ไขแล้ว
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา147 จำคุก 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 3 ปี 9 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้กำหนดโทษโดยลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 และยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิด ห้าปี ถือได้ว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่จำเลยฎีกาโดยอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ในการนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เพราะไม่มีพยานหลักฐานอันใดที่ยืนยันว่า จำเลยมีหน้าที่รักษาทรัพย์หรือครอบครองทรัพย์นั้นถือว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยดังกล่าวล้วนแต่เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาทั้งสิ้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมิใช่ข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามาโดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฏหมาย จึงเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย”.