แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องของโจทก์ คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งห้า กับคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์เป็นการโต้แย้งกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของฝ่ายโจทก์หรือจำเลยทั้งห้า เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งห้ายอมรับข้อเท็จจริงว่ามูลเหตุคดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ให้ที่ดินแก่จำเลยที่ 1 ย่อมต้องวินิจฉัยปัญหาในข้อเท็จจริงว่าโจทก์ให้ที่ดินแก่จำเลยที่ 1 เพียงใด เพื่อไปสู่ปัญหาในข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นของฝ่ายโจทก์หรือจำเลยทั้งห้า เพราะหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ไม่ได้ให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 1 ที่ดินพิพาทก็เป็นของโจทก์ ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งห้าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจึงถูกต้องแล้ว
แม้ตามหนังสือแบ่งให้ที่ดินและ น.ส.3 จะระบุชัดว่าโจทก์และ ป. ให้ที่ดินตาม น.ส. 3 ดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 มีเนื้อที่ 3 งาน 60 ตารางวา แต่เมื่อจำเลยที่ 1 เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทและที่ได้รับการให้ตลอดมาโดยโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้าน ทั้งตอนที่จำเลยที่ 1 นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดเพื่อออกโฉนด โจทก์ก็ไประวังและรับรองแนวเขตในฐานะเจ้าของที่ดินข้างเคียงให้แม้ขณะนั้นโจทก์จะยังไม่ทราบว่าที่ดินที่จำเลยที่ 1 ขอออกโฉนดมีเนื้อที่เท่าใดก็ตาม แต่บันทึกถ้อยคำระบุไว้ชัดว่าในการรังวัดออกโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 โจทก์เห็นว่าถูกต้องแล้ว ไม่มีการรุกล้ำแนวเขตกันแต่อย่างใด เท่ากับโจทก์ยอมรับว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่ได้รับการให้ และรังวัดออกโฉนดในส่วนที่ครอบครองทำประโยชน์ จึงเป็นการให้ที่ดินด้วยการส่งมอบการครอบครองที่ดินแก่จำเลยที่ 1 โดยมีเจตนาให้ตามส่วนที่ได้รับมอบการครอบครองยิ่งกว่าที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาแบ่งให้ที่ดินและ น.ส. 3 ดังนั้นเมื่อมีรังวัดออกโฉนดที่ดินได้เนื้อที่ 1 ไร่ 99 ตารางวา กรณีต้องถือว่าโจทก์และ ป. ให้ที่ดินแก่จำเลยที่ 1 มีเนื้อที่ดังกล่าว หาใช้เนื้อที่ 3 งาน 60 ตารางวา ตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาแบ่งให้ที่ดินและ น.ส. 3 ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขอออกโฉนดที่ดินที่โจทก์และนางแป้น ลานจะบก แบ่งให้เป็นโฉนดเลขที่ 63337 ตำบลหนองจะบก อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา มีเนื้อที่เกินกว่าที่ได้รับการยกให้จำนวน 1 งาน 39 ตารางวา รวมเป็นเนื้อที่ทั้งหมด 1 ไร่ 99 ตารางวา คืน แล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อมาจำเลยที่ 2 จดทะเบียนให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าวด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 63337 ตำบลหนองจะบก อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 1 งาน 39 ตารางวา ให้โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งห้า
จำเลยทั้งห้าให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง สิทธิเรียกคืนการครอบครองหมดไปแล้ว หลังจากจำเลยที่ 1 ได้รับการให้ที่ดินพิพาทจากโจทก์และนางแป้น ลานจะบก แล้ว จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินตามจำนวนที่ได้รับมาเป็นเวลา 30 ปี แล้ว ขณะจำเลยที่ 1 นำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินโจทก์ทราบเรื่องดีโดยได้รับรองแนวเขตและมิได้คัดค้านแต่อย่างใด การโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และการที่จำเลยที่ 2 จดทะเบียนให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดิน เป็นการกระทำโดยสุจริต จำเลยที่ 1 ไม่มีชื่อในโฉนดที่ดินแล้ว จึงไม่มีหน้าที่ต้องดำเนินการตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทั้งห้าไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินคืนให้โจทก์ จำเลยทั้งห้าขอฟ้องแย้งว่า เมื่อต้นปี 2539 โจทก์บุกรุกที่ดินดังกล่าวทางด้านทิศตะวันตก โดยปลูกเพิง นำเศษไม้ไปวางและปลูกผักเนื้อที่ประมาณ 150 ตารางวา โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยทั้งห้า ทำให้จำเลยทั้งห้าได้รับความเสียหายไม่สามารถใช้ที่ดินได้โดยปกติสุข ขอให้ยกฟ้องและขับไล่โจทก์กับบริวาร ให้ขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินโฉนดเลขที่ 63337 ตำบลหนองจะบก อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา และปรับหน้าดินให้อยู่ในสภาพเดิม ห้ามโจทก์กับบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เหตุที่โจทก์ไม่คัดค้านขณะที่จำเลยที่ 1 ขอออกโฉนดที่ดินเพราะโจทก์เข้าใจว่าจำเลยที่ 1 ขอออกโฉนดที่ดินเนื้อที่ 3 งาน 60 ตารางวา เท่านั้น โจทก์ไม่เคยบุกรุกที่ดินส่วนของจำเลยทั้งห้า แต่เข้าทำประโยชน์ในที่ดินส่วนของโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เดิมโจทก์และนางแป้น ลานจะบก ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงใหญ่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 45 ตำบลหนองจะบก อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 2 ไร่ 25 ตารางวา ต่อมาวันที่ 3 มิถุนายน 2508 โจทก์และนางแป้นจดทะเบียนให้ที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนเนื้อที่ 3 งาน 60 ตารางวา แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหลาน ในวันเดียวกัน จำเลยที่ 1 นำที่ดินที่ได้รับการให้ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 51 ตำบลหนองจะบก อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา และไปขอออกโฉนดที่ดินในวันที่ 22 มกราคม 2530 ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 63337 ตำบลหนองจะบก อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 1 ไร่ 99 ตารางวา ซึ่งมากกว่าที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 51 เป็นเนื้อที่ 1 งาน 39 ตารางวา วันที่ 15 มิถุนายน 2531 นางแป้นจดทะเบียนให้ที่ดินแปลงคงเหลือเฉพาะส่วนของตนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 45 แก่โจทก์ วันที่ 11 มกราคม 2537 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 63337 แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตร ต่อมาวันที่ 14 ธันวาคม 2537 จำเลยที่ 2 จดทะเบียนให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่5 ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวม ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 1 งาน 39 ตารางวา ภายในเส้นสีแดงตามแผนที่วิวาท เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 63337 ที่มีชื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกซึ่งฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งห้าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท แทนประเด็นข้อพิพาทเดิมที่กำหนดว่า โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยทั้งห้าเพียงใดไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งห้า กับคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์เป็นการโต้แย้งกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของฝ่ายโจทก์หรือจำเลยทั้งห้า เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งห้ายอมรับข้อเท็จจริงว่ามูลเหตุคดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ให้ที่ดินแก่จำเลยที่ 1 ย่อมต้องวินิจฉัยปัญหาในข้อเท็จจริงว่าโจทก์ให้ที่ดินแก่จำเลยที่ 1 เพียงใด เพื่อไปสู่ปัญหาในข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นของฝ่ายโจทก์หรือจำเลยทั้งห้า เพราะหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ไม่ได้ให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 1 ที่ดินพิพาทก็เป็นของโจทก์ ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ว่าโจทก์หรือจำเลยทั้งห้าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจึงถูกต้องแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อสุดท้ายตามฎีกาของโจทก์มีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่โดยโจทก์ฎีกาว่า การให้ที่ดินระหว่างโจทก์และนางแป้น ลานจะบก กับจำเลยที่ 1 ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายตามจำนวนเนื้อที่ที่โจทก์และนางแป้นแบ่งให้จำเลยที่ 1 เป็นจำนวนเนื้อที่ 3 งาน 60 ตารางวา ตรงตามเจตนาของคู่สัญญาซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องขอออกโฉนดที่ดินเนื้อที่ 3 งาน 60 ตารางวา ตามจำนวนเนื่อที่ที่ได้รับมาด้วย เพราะการขอออกโฉนดที่ดินเป็นเพียงขั้นตอนภายหลังจากการให้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ขอออกโฉนดที่ดินมีเนื้อที่เกินกว่าที่ได้รับการให้เนื้อที่ 1 งาน 39 ตารางวา โฉนดที่ดินดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในส่วนที่เกินแต่อย่างใด จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนที่เกินย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 1 ผู้โอนนั้น เห็นว่า แม้ตามหนังสือสัญญาแบ่งให้ที่ดินเอกสารหมาย จ.3 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 51 เอกสารหมาย จ.4 ระบุไว้ชัดว่าโจทก์และนางแป้นให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 มีเนื้อที่ 3 งาน 60 ตารางวา แต่ได้ความจากคำเบิกความของนายฉอ้อน พิมพ์ปรุ พยานโจทก์ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งห้าว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายครอบครองที่ดินพิพาท จึงเจือสมข้อนำสืบของจำเลยทั้งห้าให้รับฟังได้ว่าหลังจากได้รับการให้ที่ดินและจำเลยที่ 1 เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทและที่ดินที่ได้รับการให้ตลอดมาโดยโจทก์ไม่ได้แย้งหรือคัดค้าน เมื่อจำเลยที่ 1 นำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินเลขที่ 63337 เอกสารหมาย จ.5 หรือ ล.7 โจทก์ก็ไประวังแนวเขตและพิมพ์ลายนิ้วมือรับรองแนวเขตที่ดินในฐานะเจ้าของที่ดินข้างเคียงทางด้านทิศตะวันตก โดยมีนายฉอ้อนลงลายมือชื่อเป็นพยานตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.1 แม้ขณะนั้นโจทก์ยังไม่ทราบว่าที่ดินที่จำเลยที่ 1 ขอออกโฉนดที่ดินมีเนื้อที่เท่าใดดังที่โจทก์ฎีกา แต่ตามบันทึกถ้อยคำดังกล่าวระบุไว้ชัดว่าในการรังวัดออกโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 โจทก์เห็นว่าเป็นการถูกต้องแล้ว ไม่มีการรุกล้ำแนวเขตกันแต่อย่างใด จึงเป็นการยอมรับการครองครองที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยรวมทั้งที่ดินพิพาทด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ขอออกโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.5 หรือ ล.7 โดยมิได้รุกล้ำแนวเขตเข้าไปในที่ดินของโจทก์แต่อย่างใด เท่ากับโจทก์ยอมรับว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่ได้รับการให้ และรังวัดออกโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.5 หรือ ล.7 ในส่วนที่จำเลยที่ 1 ครอบครองทำประโยชน์จึงเป็นการให้ที่ดินด้วยการส่งมอบการครอบครองที่ดินแก่จำเลยที่ 1 โดยมีเจตนาให้ตามส่วนที่ได้รับมอบการครอบครองยิ่งกว่าที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาแบ่งให้ที่ดินเอกสารหมาย จ.3 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เอกสารหมาย จ.4 ดังที่โจทก์ฎีกา เมื่อมีการรังวัดออกโฉนดที่ดินซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทด้วยได้เนื้อที่ 1 ไร่ 99 ตารางวา ต้องถือว่าโจทก์และนางแป้นให้ที่ดินแก่จำเลยที่ 1 มีเนื้อที่ดังกล่าว หาใช่เนื้อที่ 3 งาน 60 ตารางวา ตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาแบ่งให้ที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ดังกล่าวไม่ พยานหลักฐานของจำเลยทั้งห้ามีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ดังนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน