คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1455/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยโอนขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ ทั้งที่ได้อุทิศที่ดินให้ทางราชการสร้างอ่างเก็บน้ำแล้ว แต่ไม่แจ้งให้โจทก์ทราบทำให้โจทก์หลงเชื่อซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวงโจทก์โดยการปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 แม้โจทก์จะมิได้นำสืบในชั้นพิจารณาถึงวันที่โจทก์ได้ไปดูและเห็นที่ดินพิพาทเป็นอ่างเก็บน้ำอันเป็นวันที่โจทก์ได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดว่าเป็นวันใดโดยเบิกความว่า ได้ไปดูที่ดินพิพาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2533แต่โจทก์ก็ได้เบิกความไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า วันดังกล่าวคือวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2533 จึงฟังได้ว่าโจทก์ทราบถึงการกระทำผิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 21 พฤษภาคม 2533 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงโจทก์ให้ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1004 ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรจะแจ้งให้ทราบ โดยจำเลยแจ้งโจทก์ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่นาของตนสามารถเข้าครอบครองทำประโยชน์ทำนาทำสวนได้ โจทก์จึงตกลงทำสัญญาซื้อที่ดินดังกล่าวจากจำเลยในราคา 30,000 บาท และได้มอบเงินให้จำเลยและจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ในวันเดียวกัน ต่อมา โจทก์จึงทราบว่าจำเลยอุทิศที่ดินดังกล่าวให้เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์เพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำแล้ว จำเลยได้โอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ทั้งที่รู้ว่าได้อุทิศที่ดินให้แก่ทางราชการแล้ว ทำให้โจทก์ต้องเสียหายจากการหลอกลวง ทำให้จำเลยได้เงินค่าที่ดินจากโจทก์จำนวน 30,000 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341
ศาลชั้นต้นไต่ส่วนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ลงโทษจำคุก 3 เดือน ไม่ปรากฎว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ให้เปลี่ยนเป็นลงโทษกักขังแทน มีกำหนด 3 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ได้ความจากโจทก์ว่า ในวันที่ 27 มกราคม 2532 โจทก์และจำเลยได้ซื้อขายที่ดินพิพาทกัน เจ้าพนักงานที่ดินอำเภออาจสามารถ ได้มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ในวันที่มีการจดทะเบียนขายที่ดินพิพาท โจทก์และจำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิ พยานได้สอบถามโจทก์และจำเลยแล้ว ทั้งสองคนยืนยันว่าได้มีการซื้อขายที่ดินพิพาทและชำระราคากันแล้วจริงนอกจากนี้ยังเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านอีกว่า ในวันทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจำเลยได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองก่อน แล้วจึงจดทะเบียนซื้อขายกัน เห็นว่า เจ้าพนักงานที่ดินผู้รับจดทะเบียนที่ดินพิพาทอันเป็นการปฎิบัติการไปตามหน้าที่ มิได้มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องกับโจทก์และจำเลยทั้งยังเบิกความสอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์ เชื่อได้ว่าเบิกความไปตามความจริง โจทก์เบิกความว่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ไปดูที่ดินพิพาทปรากฎว่าถูกน้ำท่วมทั้งแปลงกลายเป็นอ่างเก็บน้ำ โจทก์จึงไปสอบถามเจ้าหน้าที่ชลประทานที่โครงการชลประทานร้อยเอ็ด ก็ทราบว่าจำเลยได้อุทิศที่ดินพิพาทให้กรมชลประทานเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2532 แล้วตามหนังสืออุทิศที่ดินให้สาธารณประโยชน์ก็เป็นข้อยืนยันแน่ชัดว่าจำเลยได้อุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นสาธารณประโยชน์ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2532 ก่อนที่จะทำการขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ คำเบิกความของโจทก์และพยานโจทก์ จึงไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำให้ร้ายจำเลย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยโอนขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งที่ได้อุทิศที่ดินพิพาทให้ทางราชการแล้ว แต่ไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ ทำให้โจทก์หลงเชื่อซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยการกระทำของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวงโจทก์โดยการปกปิดข้อเท็จจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องโจทก์
สำหรับที่จำเลยแก้ฎีกาเป็นประเด็นว่า โจทก์เบิกความว่าได้เห็นที่ดินพิพาทเป็นอ่างเก็บน้ำเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2533โดยไม่ระบุว่าเห็นวันใด เมื่อโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจำเลยในวันที่ 21 พฤษภาคม 2533 ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่าแม้โจทก์จะมิได้นำสืบในชั้นพิจารณาถึงวันที่โจทก์ได้ไปดูและเห็นที่ดินพิพาทเป็นอ่างเก็บน้ำอันเป็นวันที่โจทก์ได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดว่าเป็นวันใด โดยเบิกความว่า ได้ไปดูที่ดินพิพาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2533แต่โจทก์ก็ได้เบิกความไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า วันดังกล่าวคือวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2533 จึงฟังได้ว่าโจทก์ทราบถึงการกระทำผิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ฟ้องวันที่21 พฤษภาคม 2533 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 96 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกฟ้องโจทก์มานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share