แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ธนาคารจำเลยมีระเบียบและคำสั่งเรื่องการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าชัดแจ้งว่าลูกค้าที่ขอสินเชื่อตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป ผู้จัดการสาขาไม่มีอำนาจอนุมัติเอง ต้องส่งเรื่องไปขออนุมัติจากสำนักงานใหญ่เมื่อสำนักงานใหญ่อนุมัติแล้วจึงจะจดทะเบียนจำนองให้แก่ลูกค้าได้ การที่จำเลยวางระเบียบไว้เช่นนั้นเพื่อให้สำนักงานใหญ่ได้กลั่นกรองให้ละเอียดรอบคอบอีกชั้นหนึ่งซึ่งเป็นมาตรการป้องกันความเสี่ยงหรือความเสียหายของจำเลยจึงต้องถือว่าระเบียบและคำสั่งนี้มีความสำคัญแก่การดำเนินกิจการธนาคารของจำเลย การที่โจทก์รีบดำเนินการจดทะเบียนจำนองให้แก่บริษัทด.ในวงเงิน 162 ล้านบาทก่อนได้รับอนุมัติจากจำเลย ทั้งที่ส.รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของจำเลยมีคำสั่งว่ากรณีจำเป็นเร่งด่วนก็ต้องขออนุมัติจากสำนักงานใหญก่อนจะดำเนินการจดทะเบียนจำนองให้แก่ลูกค้าไม่ได้และการที่โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งของจำเลยเป็นเหตุให้จำเลยขาดเงินฝากอันเป็นหลักประกันถึง 39 ล้านบาท ทั้งโจทก์ยังเปลี่ยนแปลงลักษณะของสินเชื่อโดยเปลี่ยนแปลงจากวงเงินหนังสือค้ำประกันมาเป็นวงเงินรับรองตั๋วแลกเงินและวงเงินรับซื้อตั๋วเงินให้แก่บริษัทด.อีกด้วย อันเป็นผลทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างมาก และความเสียหายนี้หาใช่ความเสียหายที่เกิดจากจำเลยมีคำสั่งให้ระงับสินเชื่อไม่การกระทำของโจทก์ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(4)โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และกรณีจำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ประมาณปี 2526 โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยครั้งสุดท้ายมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการธนาคารของจำเลย สาขาลำพูน ต่อมาจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2539 เป็นต้นไป อ้างว่าโจทก์ปล่อยสินเชื่อลูกค้ารายบริษัทดงช้างปิโตรเลียม จำกัดไม่เป็นไปตามคำสั่งของจำเลยอนุมัติ ทำให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรง ซึ่งไม่เป็นความจริงการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และไม่ได้บอกกล่าวให้โจทก์ทราบล่วงหน้าจำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เท่ากับค่าจ้าง 6 เดือน ในอัตราเดือนละ 27,495 บาท เป็นเงินค่าชดเชย 164,970 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 27,495 บาท เงินบำนาญสำหรับลูกจ้างที่ทำงานกับจำเลยตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป คิดจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายบวกค่าครองชีพจำนวน 22,950 บาท คูณกับอายุงานของโจทก์ 14 ปี เป็นเงินบำนาญ 321,300 บาทนอกจากนี้จำเลยต้องจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2539 ประจำไตรมาสที่ 2 ซึ่งจะต้องจ่ายในเดือนมิถุนายน 2539 อีกจำนวน 56,125 บาทแก่โจทก์ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม โจทก์ขอเรียกค่าเสียหายอีก 500,000 บาท รวมเป็นจำนวนเงินที่จำเลยต้องจ่ายให้โจทก์ทั้งสิ้น 1,069,890 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันฟ้องสำหรับค่าชดเชยนับแต่เดือนมิถุนายน 2539 จนถึงวันฟ้องสำหรับเงินโบนัส ส่วนเงินอื่น ๆ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินทุกจำนวนพร้อมดอกเบี้ยดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในกรณีร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่า จำเลยมีระเบียบและคำสั่งเรื่องการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าชัดแจ้งว่าลูกค้าที่ขอสินเชื่อตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปผู้จัดการสาขาไม่มีอำนาจอนุมัติเองต้องส่งเรื่องไปขออนุมัติจากสำนักงานใหญ่เมื่อสำนักงานใหญ่อนุมัติแล้วจึงจะจดทะเบียนจำนองให้แก่ลูกค้าได้ การที่จำเลยวางระเบียบไว้เช่นนั้นเพื่อให้สำนักงานใหญ่ได้กลั่นกรองให้ละเอียดรอบคอบอีกชั้นหนึ่งซึ่งเป็นมาตรการป้องกันความเสี่ยงหรือความเสียหายของจำเลย จึงต้องถือว่าระเบียบและคำสั่งนี้มีความสำคัญแก่การดำเนินกิจการธนาคารของจำเลย การที่โจทก์รีบดำเนินการจดทะเบียนจำนองให้แก่บริษัท ดงช้างปิโตรเลียม จำกัด ในวงเงิน 162 ล้านบาท ก่อนได้รับอนุมัติจากจำเลยทั้งที่นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่(ตำแหน่งในขณะนั้น)ของจำเลยมีคำสั่งว่ากรณีจำเป็นเร่งด่วนก็ต้องขออนุมัติจากสำนักงานใหญ่ก่อนจะดำเนินการจดทะเบียนจำนองให้แก่ลูกค้าไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าการฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งของจำเลยเป็นเหตุให้จำเลยขาดเงินฝากอันเป็นหลักประกันถึง 39 ล้านบาท ทั้งโจทก์ยังเปลี่ยนแปลงลักษณะของสินเชื่อโดยเปลี่ยนแปลงจากวงเงินหนังสือค้ำประกันมาเป็นวงเงินรับรองตั๋วแลกเงินและวงเงินรับซื้อตั๋วเงินให้แก่บริษัทดงช้างปิโตรเลียม จำกัดอีกด้วย อันเป็นผลทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างมากและความเสียหายนี้หาใช่ความเสียหายที่เกิดจากจำเลยมีคำสั่งให้ระงับสินเชื่อดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ การกระทำของโจทก์ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47(4) โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ากับเงินอื่นตามฟ้องและกรณีจำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4692/2538 ที่โจทก์อ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้
พิพากษายืน