คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1454/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินที่ตกลงให้เป็นค่าจ้างว่าความเป็นที่ดินที่อยู่นอกที่พิพาทจึงมิใช่เป็นการเรียกร้องเอาค่าจ้างจากส่วนแบ่งในที่ดินที่พิพาทไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
เงินค่าจ้างว่าความเป็นหนี้เงินตามกฎหมาย เมื่อทนายผู้รับจ้างทวงถามให้ชำระผู้ว่าจ้างไม่ชำระ ผู้ว่าจ้างตกเป็นผู้ผิดนัด ต้องเสียดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
ศาลมีอำนาจที่จะพิจารณากำหนดค่าจ้างว่าความให้ตามสมควรแก่กิจการที่กระทำไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความจากจำเลยเป็นเงิน 50,000 บาทกับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง

จำเลยให้การว่า จำเลยตกลงให้ค่าจ้างเมื่อคดีชนะหมดและถึงที่สุด โดยโจทก์จะแบ่งที่ดินที่เป็นความ ไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อย เป็นโมฆะ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญาจ้างว่าความให้โจทก์ที่ดินที่กำหนดให้เป็นค่าจ้าง เป็นที่ดินนอกที่พิพาทในคดี ไม่เป็นโมฆะ พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าจ้างให้โจทก์เป็นเงิน 35,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระค่าจ้างให้โจทก์เป็นเงิน21,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ

โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินที่ตกลงให้เป็นค่าจ้างว่าความ เป็นที่ดินอยู่นอกที่พิพาทจึงมิใช่เป็นการเรียกร้องเอาค่าจ้างจากส่วนแบ่งในที่ดินที่พิพาทกัน ไม่ขัอต่อพระราชบัญญัติทนายความหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

เงินค่าจ้างว่าความเป็นหนี้เงินตามกฎหมาย จำเลยจะต้องชดใช้ดอกเบี้ยเมื่อผิดนัดเมื่อโจทก์ทวงถาม จำเลยไม่ชำระ จำเลยก็ต้องเสียดอกเบี้ยตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้ ศาลมีอำนาจที่จะพิจารณากำหนดค่าจ้างว่าความให้ตามสมควรแก่กิจการที่กระทำไปได้

พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้ค่าจ้างเป็นเงิน 25,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยเป็นอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ

Share