คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1454/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างอิงในฎีกานั้นคู่ความจะต้องได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
ข้อที่โจทก์ยังไม่ได้ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญายอมความจะบังคับบริวารของจำเลยได้หรือยังนั้นไม่เกี่ยวความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
อำนาจพิเศษซึ่งวงศ์ญาติและบริวารจำเลยที่อยู่บนอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์จะใช้ยันโจทก์ได้ภายหลังที่ศาลได้พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ของโจทก์แล้วนั้นต้องเป็นอำนาจที่จะใช้ยันตัวโจทก์ได้เอง
คำว่า “บริวาร”ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) กับ”ครอบครัว”(FAMILY)นั้นต่างกัน “บริวาร”ตรงกับคำว่า”DEPANDANT””หมายถึงผู้ที่อาศัยสิทธิของผู้อื่น อาจจะเป็นบุคคลในหรือนอกครอบครัวของผู้นั้นก็ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่านายโนรีได้ทำสัญญาเช่าที่ดินจากโจทก์ เพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย สัญญาจะสิ้นสุดวันที่ 1 มีนาคม 2496 ต่อมาประมาณวันที่ 30 เมษายน 2495 โจทก์ทราบว่านายโนรีถึงแก่กรรม แต่ทายาทของนายโนรีมิได้แจ้งจำนงจะเช่าต่อ และทราบว่าขณะนายโนรียังมีชีวิตได้นำที่ดินที่เช่าปลูกบ้านนี้ให้ผู้อื่นเช่าช่วง ต่อมาทายาทได้ตั้งให้นายประสิทธิ์และนายสุยเป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกนายโนรี โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยแล้ว จำเลยและบริวารยังไม่รื้อถอนหรือออกไปจากที่เช่าและจำเลยยังค้างค่าเช่ารวมเป็นเงิน 320 บาทขอให้ศาลบังคับ

จำเลยต่อสู้ว่าผู้เช่าช่วงไม่ยอมออกไม่สามารถปฏิบัติตามคำบอกกล่าวของโจทก์ได้ โจทก์ควรฟ้องผู้เช่า สิ่งปลูกสร้าง (ผู้เช่าช่วง)เป็นจำเลยด้วย และต่อสู้อีกหลายประการ

ที่สุดโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินรายพิพาทไปภายใน 2 เดือน ครั้นต่อมาก่อนถึงกำหนดจำเลยแถลงต่อศาลแขวงพระนครใต้ว่าไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญายอมและคำพิพากษาของศาลได้ เพราะนายเจียมผู้เช่าจากนายโนรีไม่ยอมออก จำเลยจึงไม่สามารถรื้อ ศาลหมายเรียกนายเจียมมาสอบ นายเจียมแถลงว่ายังหาที่อยู่ไม่ได้ขอเวลาอีก 3-4 เดือน ศาลสั่งให้นายเจียมขนย้ายออกไปภายในกำหนดเวลาตามสัญญายอมความนายเจียมรับทราบคำสั่งในฐานะบริวารจำเลย ครั้นแล้วนายเจียมกลับอุทธรณ์คำสั่งศาลว่าไม่ใช่บริวารนายโนรีและไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ นายเจียมอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์สั่งให้รับแล้ววินิจฉัยว่านายเจียมเข้าอยู่ในห้องที่นายโนรีปลูกสร้างโดยอาศัยสิทธินายโนรี เมื่อนายเจียมไม่สามารถแสดงอำนาจพิเศษต่อโจทก์ได้แล้วก็ตกอยู่ในฐานะบริวารของนายโนรีพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่บังคับให้นายเจียมออกจากที่พิพาท

นายเจียมผู้ร้องฎีกาว่า

(1) คดีนี้โจทก์ยังไม่ได้ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญายอมความ จะบังคับนายเจียมซึ่งแม้จะฟังว่าเป็นบริวารของจำเลยได้หรือยัง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ถึงแม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวอ้างมาแต่ต้นก็ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยได้

(2) จำเลยอยู่ในห้องพิพาทด้วยสิทธิการเช่าเรียกว่าจำเลยสามารถแสดงสิทธิพิเศษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา142 แล้ว

(3) จำเลยมิใช่บริวารของนายโนรี คำว่า “บริวาร” ต้องเป็น”ครอบครัว” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “family”

(4) นายเจียมอยู่ในฐานะผู้เช่าช่วงตามมาตรา 545 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อาจถูกโจทก์หรือนายโนรีฟ้องเรียกค่าเช่าหรือเลิกเช่าได้ ย่อมได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า

ศาลฎีกาเห็นว่า

(1) ฎีกาข้อแรกไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 และแม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างมาแต่ศาลชั้นต้น

(2) “อำนาจพิเศษ” ซึ่งวงศ์ญาติและบริวารของจำเลยที่อยู่บนอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์จะใช้ยันโจทก์ได้ภายหลังที่ศาลได้พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ของโจทก์แล้วนั้น ต้องเป็นอำนาจที่จะใช้ยันตัวโจทก์ได้เอง เรื่องนี้นายเจียมมิได้มีนิติสัมพันธ์อย่างหนึ่งอย่างใดกับโจทก์ เมื่อสัญญาเช่าที่นายโนรีทำไว้กับโจทก์หมดสิ้นไปสิทธิของนายเจียมซึ่งเช่าช่วงจากนายโนรีและอาศัยสิทธินายโนรีก็หมดไปด้วย

(3) คำว่า “บริวาร” ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(1) กับ “ครอบครัว” หรือ “family” นั้นมีความหมายต่างกัน”บริวาร” ตามมาตรานี้หมายถึงผู้ที่อาศัยสิทธิของผู้อื่นตรงกับคำว่า”dependant” บริวารจึงอาจเป็นบุคคลภายในครอบครัวหรือนอกครอบครัวของผู้ใด เช่นอย่างนายเจียมผู้ร้องนี้ก็เป็นบริวารของนายโนรี

(4) ข้อที่นายเจียมจะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในฐานะผู้เช่าช่วงเรือนพิพาทหรือไม่นั้น เป็นข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างมาแต่ศาลชั้นต้น

จึงพิพากษายืน

Share