คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1453/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในคดีอื่นดังเช่นที่บัญญัติไว้สำหรับคดีแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่ เพราะในคดีอาญาศาลจะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง จะไม่พิพากษาลงโทษจำเลยจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 คนละ 2 ปี

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญากล่าวหาว่าโจทก์แจ้งความเท็จเรื่องยักยอกสร้อยเพชรและแหวนเพชรนั้นไม่เป็นฟ้องเท็จและจำเลยทั้งสามเบิกความในคดีอาญาดังกล่าวก็ไม่เป็นเบิกความเท็จ พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า ในส่วนคดีอาญา(คงหมายถึงคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าแจ้งความเท็จ) ศาลฎีกาได้พิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า โจทก์นำของพิพาทไปจ้างจำเลยที่ 1 ทำสร้อยข้อมือเพชรและต่างหูเพชร (ที่ถูกเป็นทำเป็นแหวนเพชร) ดังนั้นข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงไม่มีเหตุผลที่จะลบล้างคำวินิจฉัยของศาลฎีกาในประเด็นนี้ได้ ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะต้องรับฟังดังที่ศาลฎีกาวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเป็นอย่างอื่นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าในการพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในคดีอื่นดังเช่นที่บัญญัติไว้สำหรับคดีแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 นั้นไม่ แม้โจทก์กับจำเลยที่ 1 จะเป็นคู่ความเดียวกัน พยานจำเลยชุดเดียวกันดังที่โจทก์ยกขึ้นกล่าวอ้างในฎีกาก็ตาม เพราะในคดีอาญาศาลจะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง จะไม่พิพากษาลงโทษจำเลยจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงคดีนี้ถึงหากจะแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ศาลฎีการับฟังในคดีอาญาที่โจทก์กล่าวอ้างก็เป็นคำวินิจฉัยที่ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share