คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1451/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือสัญญารับใช้เงิน มีข้อความแสดงอยู่ชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าโจทก์อยู่จริง และรับว่าคงค้างชำระอยู่ 2 จำนวน คือ 19,406.61 บาท และ 8,043 บาท ขอผัดชำระไป 6 เดือน ไม่มีข้อความตอนใดแสดงให้เห็นว่าจะให้มีการเปลี่ยนแปลงสารสำคัญในหนี้เดิมอย่างใด จึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ ไม่ใช่แปลงหนี้ใหม่
องค์การ อ.จ.ส.โจทก์จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดซื้อและจำหน่ายสินค้า พ.ศ.2497 ซึ่งบัญญัติให้ดำเนินการค้าได้ เมื่อองค์การโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยในฐานะเป็นพ่อค้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) ซึ่งมีอายุความ 2 ปี ตามฟ้องกล่าวว่า จำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้าย เมื่อเดือนสิงหาคม 2501 แม้นับอายุความใหม่ตั้งแต่วันชำระหนี้ครั้งสุดท้าย อันเป็นวันถือว่าจำเลยรับสภาพหนี้ตามมาตรา 172 จนถึงวันที่ 5 มีนาคม 2507 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ฟ้องก็เกิน 2 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้จัดตั้งองค์การจัดซื้อสิ่งของเพื่อบรรเทาทุกข์และบูรณะความเสียหายของประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดซื้อและจำหน่ายเครื่องอุปโภค บริโภค และสิ่งของอื่น ๆ อันจำเป็นแก่การครองชีพของประชาชน ให้มีปริมาณเพียงพอที่จะบรรเทาทุกข์ราษฎร และเพื่อให้การครองชีพกลับคืนอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต่อมาให้เรียกชื่อว่า องค์การจัดซื้อและขายสินค้า (อ.จ.ส.) และต่อมาวันที่ 1 เมษายน 2497 มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การซื้อและขายสินค้า พ.ศ. 2497 รับโอนทรัพย์สินสินทรัพย์ สิทธิ ความรับผิดธุรกิจขององค์การจัดซื้อและจำหน่ายสินค้ามาทั้งหมด มีวัตถุประสงค์ที่จะอำนวยบริการแก่รัฐและประชาชนในการจัดการจำหน่ายเครื่องอุปโภค เครื่องมือ เครื่องใช้ และสรรพสินค้าต่าง ๆ กับพาณิชยกรรม เพื่อประโยชน์ในการเศรษฐกิจของชาติ และช่วยเหลือในการครองชีพ ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม 2503 มีพระราชกฤษฎีกาให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาและองค์การดังกล่าวคณะรัฐมนตรีมีมติให้ตั้งผู้ชำระบัญชี เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2493จำเลยทำสัญญากับโจทก์เป็นเอเย่นต์จำหน่ายสินค้าของโจทก์ โดยรับสรรพสินค้าจากโจทก์ไปขายและจัดส่งเงินเพื่อชำระราคา เดือนละ 1 ครั้ง จำเลยซื้อสินค้าเช่น เสื้อผ้า ด้าย หลอดไฟฟ้า ฯลฯ ไปจำหน่ายไม่สามารถชำระหนี้ให้หมดสิ้นไปได้ ในวันที่ 2 เมษายน 2499 โจทก์จำเลยทำสัญญาแปลงหนี้ใหม่ เป็นสัญญารับใช้เงิน มีเงื่อนไขยอมให้จำเลยผัดชำระให้เสร็จสิ้นใน 6 เดือน รวม 27,479.61 บาท จำเลยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อสิงหาคม 2501รวมที่ค้าง 20,879.61 บาท โจทก์ทวงถาม จำเลยไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับให้ชำระพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า โจทก์ทำสัญญากับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลสุมนพาณิชย์ จำเลยไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ฟ้องเคลือบคลุม สัญญาที่ทำรับใช้เงินค่าซื้อสินค้า ไม่ใช่สัญญาแปลงหนี้ใหม่เพราะไม่ได้เปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญ คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 เพราะมิได้ฟ้องภายใน 2 ปี นับแต่วันรับสินค้า หรือนับแต่วันทำสัญญารับใช้หนี้หรือนับแต่วันชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อสิงหาคม 2501

ศาลชั้นต้นงดสืบพยาน เห็นว่าคดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า

(1) หนังสือสัญญารับใช้เงินลงวันที่ 2 เมษายน 2499 มีข้อความแสดงอยู่ชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าโจทก์อยู่จริง และรับว่าคงค้างชำระหนี้อยู่ 2 จำนวน คือ 19,436.61 บาท และ 8,043 บาท ขอผัดชำระไป 6 เดือน จึงเป็นแต่เพียงการยอมรับรองโดยชัดแจ้งต่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ว่าตนเป็นลูกหนี้แต่เดิมมาตามจำนวนนั้นจริง ๆ จะชำระหนี้ให้โดยขอเวลา 6 เดือน ไม่มีข้อความตอนใดในหนังสือดังกล่าวนี้ที่แสดงให้เห็นว่าจะให้มีการเปลี่ยนแปลงสารสำคัญในหนี้เดิมอย่างใดเลย หนังสือนี้เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่

(2) ปัญหามีว่า โจทก์เป็นพ่อค้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) หรือไม่ เห็นว่า องค์การโจทก์จัดตั้งขึ้น โดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดซื้อและจำหน่ายสินค้า พ.ศ. 2497มาตรา 6 ระบุว่ามีวัตถุประสงค์ 1. อำนวยบริการแก่รัฐและประชาชนในการจัดหา และจำหน่ายเครื่องอุปโภค บริโภค เครื่องมือ และสรรพสินค้าต่าง ๆ 2. ประกอบพาณิชยกรรมเพื่อประโยชน์ในการเศรษฐกิจของชาติ และช่วยเหลือในการครองชีพมาตรา 7 บัญญัติว่าเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวในมาตรา 6 ให้มีอำนาจรวมถึง ฯลฯ 3. ทำการค้าเกี่ยวกับการพิมพ์ ฯลฯ 7. ร่วมการงานหรือสมทบกับบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แห่งกิจการ อ.จ.ส.รวมทั้งการเข้าหุ้นส่วนหรือถือหุ้นส่วนหรือนิติบุคคลใด ๆ โดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี ฯลฯ9. กระทำกิจการอื่นใดที่เกี่ยวกับกิจการค้า หรือที่ต่อเนื่องใกล้เคียงกัน และมาตรา 12 ว่า ในปีหนึ่ง ๆ เมื่อได้หักราคาทุนของสินค้าที่ได้จำหน่ายและหักค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินกิจการ ฯลฯ เหลือกำไรสุทธิเท่าใด ให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ฯลฯ จึงเห็นว่าพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้บัญญัติให้โจทก์ดำเนินการค้าได้ คดีนี้โจทก์ก็เป็นเจ้าหนี้จำเลยในฐานะเป็นพ่อค้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) ซึ่งมีอายุความ 2 ปี ตามฟ้องกล่าวว่า จำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อสิงหาคม 2501 ฉะนั้น แม้จะเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่จำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้าย อันถือว่าจำเลยรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 จนถึงวันที่ 5 มีนาคม 2507 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ฟ้องก็เกิน 2 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ

พิพากษายืน

Share