แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมเป็นทรัพย์มรดกของ บ. มิใช่ พ. ศาลชั้นต้นยกฟ้อง คดีถึงที่สุด จึงต้องฟังว่าพินัยกรรมของ พ. ถูกต้องสมบูรณ์ และ บ. ไม่ได้รับทรัพย์สินตามพินัยกรรม โจทก์ในฐานะทายาทของ บ. ไม่มีสิทธิขอแบ่งที่ดินพิพาท ฟ้องโจทก์คดีนี้ขอให้แบ่งที่ดินพิพาทจึงเป็นฟ้องซ้ำ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้วินิจฉัยถูกต้องแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง
	อนึ่ง แม้อุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แต่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีผลเพียงให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีเท่านั้น จึงเป็นการปลดเปลื้องทุกข์อันมิอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ดังนั้น จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 200 บาท ในชั้นอุทธรณ์ให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๗๔๙, ๑๑๓๒๙ และ  ๒๑๕๘๘ เนื้อที่ ๖ ไร่ ๙๔/๑๐๐ ตารางวา แก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ แบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๓๘๒ เนื้อที่ ๖ ไร่ แก่โจทก์ หากเพิกเฉยให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน  ๖๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
   จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
   จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ
   ระหว่างพิจารณา โจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ แถลงสละประเด็นแห่งคดีทุกข้อ คงให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเพียงว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จะต้องแบ่งที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น..ส.๓  ก.) เลขที่ ๓๘๒ อำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม ให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด
   ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์  ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
   โจทก์อุทธรณ์
   ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องทำนองว่า  ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายเหง่า บิดาของนายบุญยงค์ โจทก์เป็นบุตรของนายบุญยงค์จึงเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายบุญยงค์  แต่นางแพงมาในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเหง่ากลับโอนที่ดินพิพาทเป็นชื่อของตนโดยไม่ได้แบ่งปันให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายเหง่ารวมทั้งโจทก์คดีนี้ด้วย  การกระทำของนางแพงมาจึงไม่ชอบ ขอให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางแพงมาแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามส่วน  สำหรับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๖๖/๒๕๕๘ ของศาลชั้นต้นนั้น โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางแพงมา  ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนพินัยกรรมที่นางแพงมาทำไว้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาท  แม้คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พินัยกรรมที่นางแพงมาทำไว้มีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆะและพิพากษายกฟ้องโจทก์  โดยคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม แต่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีทั้งสองเป็นคนละประเด็นกัน และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแตกต่างกัน นอกจากนี้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓  ไม่ได้ถูกฟ้องในคดีดังกล่าวด้วย ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงหาเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๖๖/๒๕๕๘ ของศาลชั้นต้นไม่ เนื่องจากศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยว่า  จำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด แม้คู่ความจะนำสืบข้อเท็จจริงมาเสร็จสิ้นเพียงพอที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวได้ก็ตาม แต่เพื่อให้การวินิจฉัยเป็นไปตามลำดับชั้นศาล  จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นเป็นผู้วินิจฉัยปัญหานี้เสียก่อน พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี  ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
   จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา
   ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ที่ว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๖๖/๒๕๕๘  ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ คดีนี้เป็นจำเลยขอให้ศาลพิพากษาว่า พินัยกรรมของนางแพงมา ส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๓๘๒อำเภอยางสีสุราช  จังหวัดมหาสารคาม ตกเป็นโมฆะ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว  นายเหง่า และนางสุข ซึ่งเป็นบิดามารดาของนายบุญยงค์ บิดาของโจทก์ยกที่ดินพิพาทให้แก่นางแพงมา  จึงต้องฟังว่าพินัยกรรมของนางแพงมาถูกต้องสมบูรณ์ และนายบุญยงค์ไม่ได้รับทรัพย์สินตามพินัยกรรมดังกล่าว  โจทก์ในฐานะทายาทของนายบุญยงค์ไม่มีสิทธิขอแบ่งที่ดินพิพาท โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอแบ่งที่ดินพิพาทจึงเป็นฟ้องซ้ำตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้ว  ศาลฎีกาจึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๒๓  วรรคหนึ่ง
   อนึ่ง แม้ตามอุทธรณ์ของโจทก์  โจทก์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษากลับ คำพิพากษาศาลชั้นต้นและพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ แบ่งที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๓๘๒ อำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม จำนวน ๖ ไร่ ให้แก่โจทก์ แต่เมื่อคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๔  มีผลเพียงให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีเท่านั้น จึงเป็นการปลดเปลื้องทุกข์อันมิอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้  ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง ๒๐๐ บาท ดังนั้น  จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน  ๒๐๐ บาท ในชั้นอุทธรณ์ให้แก่โจทก์
   จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน ๒๐๐ บาท ในชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์  และคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ.

