คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9121/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ตามคำร้องของจำเลยอ้างว่า การออกหมายบังคับคดีของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมถูกต้องครบถ้วนแล้ว อันเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวด้วยสิทธิในการร้องขอ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา มิใช่เรื่องที่จำเลยอ้างว่าหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นออกให้ตามคำขอของโจทก์ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ไม่อยู่ในบังคับบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคหนึ่ง (เดิม) ที่บัญญัติให้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลไม่ช้ากว่าสิบห้าวันนับแต่วันทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสาม (เดิม)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แบ่งชำระเป็น ๒ งวด งวดที่ ๑ ชำระในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗ จำนวน ๘๐๐,๐๐๐ บาท งวดที่ ๒ ชำระภายในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อจำเลยชำระเงินงวดที่ ๑ แก่โจทก์แล้วในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗ โจทก์ยินยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๓๓๙๙ อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างในส่วนที่โจทก์ถือกรรมสิทธิ์อยู่ให้เป็นของจำเลยฝ่ายเดียว หากจำเลยผิดนัดชำระเงินงวดหนึ่งงวดใด ให้โจทก์บังคับคดีจากต้นเงิน ๓,๐๙๓,๐๗๗ บาท โดยหักเงินส่วนที่จำเลยชำระไปแล้วพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินที่ค้างชำระนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ทนายโจทก์ยื่นคำร้องของให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี โดยเหตุว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินงวดที่ ๒ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดี วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จำเลยชำระเงินงวดที่ ๒ ให้แก่โจทก์ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ทนายโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๓๓๙๙ ตำบลสีกัน (บ้านใหม่) อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ ๓๑๔/๖๒ เพื่อขายทอดตลาด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและการบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๓๓๙๙ อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับ ให้เพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๓๓๙๙ อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ ๓๑๔/๖๒ โดยมีเงื่อนไขให้จำเลยชำระเบี้ยปรับจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ครบถ้วนก่อน และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง ๕ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในยอดหนี้ที่ค้างชำระขณะยึดทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๗ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยตกลงชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แบ่งชำระเป็น ๒ งวด งวดแรกชำระในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗ จำนวน ๘๐๐,๐๐๐ บาท งวดที่สองชำระภายในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อจำเลยชำระเงินงวดแรกแล้ว โจทก์ยินยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๓๓๙๙ อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านตึกชั้นเดียว ในส่วนที่โจทก์ถือกรรมสิทธิ์อยู่ให้ตกเป็นของจำเลยแต่ฝ่ายเดียว หากผิดนัดชำระเงินงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดยินยอมให้โจทก์บังคับคดีจากต้นเงิน ๓,๐๙๓,๐๗๗ บาท โดยหักเงินส่วนที่จำเลยชำระแล้วพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินที่คงค้างชำระนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น หลังจากนั้นจำเลยชำระเงินงวดแรกให้แก่โจทก์แล้ว ต่อมาวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ โจทก์ยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับเอาเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมจำนวน ๒,๒๙๓,๐๗๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๓๓๙๙ พร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวของจำเลยเพื่อขายทอดตลาด พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในข้อที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็นที่อุทธรณ์หรือไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามคำขอของโจทก์ที่อ้างว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะต้องชำระเงินงวดที่สองจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ ภายในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีว่า จำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้วว่าจะขอชำระเงินงวดที่สองให้แก่โจทก์ภายในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมครบถ้วนแล้ว การออกหมายบังคับคดีจึงไม่ชอบ โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยไม่เคยแจ้งโจทก์ว่าจะชำระเงินล่าช้า โจทก์ไม่ได้รับทราบหรือยินยอม ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า โจทก์ไม่ได้ยินยอมให้จำเลยชำระเงินงวดที่สองล่าช้า จำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมิได้ผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนี้ ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีเพียงว่า การที่จำเลยชำระเงินงวดที่สองจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เป็นการผิดนัดไม่ปฏิบัติตามยอมที่จะต้องชำระภายในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ หรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นว่าเงินที่จำเลยจะต้องถูกบังคับคดีให้ชำระหนี้เพิ่มจากยอดหนี้ตามสัญญาอีก ๒,๐๙๓,๐๗๗ บาท เป็นเบี้ยปรับในกรณีผิดนัดและสูงเกินส่วนหรือไม่ โจทก์นำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๓๓๙๙ พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยเป็นการยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่จำเป็นในการบังคับคดีหรือไม่ และฝ่ายใดจะต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายหรือไม่ เพียงใด การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วมีคำพิพากษามานั้น จึงเป็นคำวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นที่อุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ และมาตรา ๒๔๖ ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๖ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น และเพื่อมิให้คดีต้องล่าช้า ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ไปเสียทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวน ฎีกาของโจทก์ข้อที่ว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีเมื่อพ้นกำหนดสิบห้าวันนับแต่ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๘ เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า คดีนี้ตามคำร้องของจำเลยอ้างว่า การออกหมายบังคับคดีของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมถูกต้องครบถ้วนแล้ว อันเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวด้วยสิทธิในการร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา มิใช่เรื่องที่จำเลยอ้างว่าหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นออกให้ตามคำขอของโจทก์ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะ ๒ ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ไม่อยู่ในบังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๖ วรรคหนึ่ง (เดิม) ที่บัญญัติให้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลไม่ช้ากว่าสิบห้าวันนับแต่วันทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นตามมาตรา ๒๙๖ วรรคสาม (เดิม) ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ในส่วนค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย เนื่องจากโจทก์ขอออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ แต่เมื่อศาลฎีกาให้เพิกถอนหมายบังคับคดี โจทก์ผู้ขอออกหมายบังคับคดีต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมส่วนนี้
พิพากษาแก้เป็นว่าให้เพิกถอนหมายบังคับคดี โดยให้โจทก์เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขาย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.

Share