คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14496/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวหาจำเลยที่ 1 ว่าปลอมรายงานการประชุมวิสามัญ ครั้งที่ 3/2527 ของบริษัท ง. รายงานการประชุมระบุว่า ป. กับพวก ซื้อที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 169 มาจากบุคคลภายนอกในนามกิจการ โดยให้ ช. ถือกรรมสิทธิ์แทน ซึ่งเป็นความเท็จ ทั้งไม่มีการประชุมจริง แต่ในคำฟ้องมิได้บรรยายว่าเป็นการปลอมเอกสารสิทธิโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและกระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานปลอมเอกสาร รายงานการประชุมวิสามัญ ครั้งที่ 3/2527 ตามเอกสารท้ายฟ้องถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องซึ่งเป็นรายละเอียดที่แสดงให้เห็นว่าใครร่วมประชุมและประชุมเรื่องใดบ้าง ใครเป็นผู้ลงลายมือชื่อในรายงานการประชุม แต่ก็มิใช่องค์ประกอบความผิด และการนำไปเป็นหลักฐานเสนอต่อศาลชั้นต้นเพื่อประกอบ การฟ้องคดีแพ่ง ก็อาจมิได้มีมูลเหตุจูงใจที่จะให้ศาลหลงเชื่อว่ารายงานการประชุมเป็นเอกสารที่แท้จริงได้ เมื่อฟ้องโจทก์ขาดองค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสาร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ศาลต้องพิพากษายกฟ้องตามมาตรา 161 ส่วนความผิดฐานทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นความเท็จนั้น จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อรับรองสำเนารายงานการประชุมวิสามัญฉบับดังกล่าว เป็นเพียงการให้คำรับรองว่าสำเนาเอกสารนี้มีข้อความถูกต้องตรงกับต้นฉบับหาได้มีความหมายเป็นการรับรองว่า บริษัท ง. ได้จัดให้มีการประชุมวิสามัญตามเนื้อความที่ระบุในสำเนารายงานการประชุมวิสามัญฉบับดังกล่าวแต่อย่างใดไม่ แม้จะได้ความตามที่โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้างว่าบริษัท ง. ไม่ได้จัดให้มีการประชุมวิสามัญ และรายงานการประชุมวิสามัญเป็นเอกสารเท็จ จำเลยที่ 3 ก็ไม่มีความผิดฐานทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 268, 269
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์ทั้งสามที่เหลือและพยานจำเลยทั้งสามต่อไป แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า คำฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานปลอมเอกสารเป็นฟ้องที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ เห็นว่า โจทก์กล่าวหาจำเลยที่ 1 ว่าปลอมรายงานการประชุมวิสามัญ ครั้งที่ 3/2527 ของบริษัทงานทวีพี่น้อง จำกัด ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2527 รายงานการประชุมฉบับดังกล่าวระบุว่านายปัญญา กับพวก ซื้อที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 169 ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มาจากบุคคลภายนอกในนามกิจการยี่ห้อจิ้นเต็ก โดยให้นายชัยสิน ถือกรรมสิทธิ์แทน ซึ่งเป็นความเท็จ อีกทั้งไม่มีการประชุมจริง แต่ในคำฟ้องมิได้บรรยายว่าเป็นการปลอมเอกสารสิทธิโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และกระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานปลอมเอกสาร ส่วนรายงานการประชุมวิสามัญ ครั้งที่ 3/2527 ตามเอกสารท้ายฟ้องถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องซึ่งเป็นรายละเอียดที่แสดงให้เห็นว่าใครร่วมประชุมและประชุมเรื่องใดบ้าง ใครเป็นผู้ลงลายมือชื่อในรายงานการประชุม แต่ก็มิใช่องค์ประกอบความผิด และการนำไปเป็นหลักฐานเสนอต่อศาลชั้นต้นเพื่อประกอบการฟ้องคดีแพ่ง ก็อาจมิได้มีมูลเหตุจูงใจที่จะให้ศาลหลงเชื่อว่ารายงานการประชุมดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริงได้ เพราะรายงานการประชุมอาจเป็นเอกสารที่แท้จริงหรือไม่จริงก็ได้ โจทก์จึงต้องยืนยันมาในฟ้องว่าผู้กระทำมีมูลเหตุจูงใจที่จะทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง เมื่อฟ้องโจทก์ขาดองค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสาร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ศาลต้องพิพากษายกฟ้องตามมาตรา 161 ในส่วนของฟ้องโจทก์ที่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เอกสารปลอม โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 มอบหมายให้จำเลยที่ 3 ในฐานะทนายความฟ้องโจทก์ทั้งสามเป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้น ตามคดีหมายเลขดำที่ 198/2546 และหมายเลขดำที่ 49/2547 และใช้เอกสารสิทธิที่จำเลยที่ 1 ทำปลอมขึ้นมาเป็นพยานหลักฐานอ้างอิงต่อศาล โดยจำเลยที่ 3 รู้อยู่แล้วว่าเป็นเอกสารปลอม โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและกล่าวหาว่าจำเลยที่ 3 ในฐานะทนายความของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำคำรับรองรายงานการประชุมฉบับดังกล่าว โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเอกสารปลอมและเป็นความเท็จไปใช้อ้างเป็นพยานต่อศาล โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน เห็นว่า ความผิดฐานใช้เอกสารปลอมนั้น ศาลต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเอกสารรายงานการประชุมฉบับเดียวกันว่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ แต่เมื่อศาลยกฟ้องความผิดฐานปลอมเอกสารเสียแล้ว จึงไม่มีข้อต้องวินิจฉัยว่ามีการใช้เอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารหรือไม่อีกต่อไป ส่วนความผิดฐานทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นความเท็จนั้น การที่จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อรับรองสำเนารายงานการประชุมวิสามัญฉบับดังกล่าว เป็นเพียงการให้คำรับรองว่าสำเนาเอกสารนี้มีข้อความถูกต้องตรงกับต้นฉบับ หาได้มีความหมายเป็นการรับรองว่าบริษัทงานทวีพี่น้อง จำกัด ได้จัดให้มีการประชุมวิสามัญตามเนื้อความที่ระบุในสำเนารายงานการประชุมวิสามัญฉบับดังกล่าวแต่อย่างใดไม่ แม้จะได้ความตามที่โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้างว่าบริษัทงานทวีพี่น้อง จำกัด ไม่ได้จัดให้มีการประชุมวิสามัญ และรายงานการประชุมวิสามัญเป็นเอกสารเท็จ จำเลยที่ 3 ก็ไม่มีความผิดฐานทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ ดังนั้นจึงต้องยกฟ้องความผิดทั้งสองฐานนี้ด้วย กรณีจึงไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์ทั้งสามที่เหลือและพยานจำเลยทั้งสาม แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share