แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 ต้องเป็นกรณีที่กล่าวอ้างว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษามิใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ยึด เมื่อปรากฏว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นอยู่ด้วย ศาลก็ต้องยกคำร้องของผู้ร้องเสีย เพราะกรรมสิทธิ์ของเจ้าของรวมแต่ละคนย่อมครอบไปเหนือทรัพย์สินทั้งหมดจนกว่าจะมีการแบ่ง
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 981/2492)
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งได้จำนองไว้แก่โจทก์เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา โดยเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้เป็นเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดเฉพาะส่วนที่เกินจำนวน6 ไร่ 53 วา โดยอ้างว่าผู้ร้องทั้งสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท28 ไร่ 2 งาน 48 ตารางวา ส่วนจำเลยที่ 2 มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนดดังกล่าวเพียง 6 ไร่ 53 ตารางวาเท่านั้น ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 347/2517 ของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี
โจทก์ให้การว่า โจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2ซึ่งขณะนั้นมีชื่อจำเลยที่ 2 กับนายมายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันเท่านั้นแม้ผู้ร้องจะอ้างว่ามีสิทธิในที่ดินดังกล่าวตามคำพิพากษาของศาลก็เป็นการได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมและยังไม่ได้จดทะเบียน จึงยกขึ้นต่อสู้กับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิจำนองมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนจำนองโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า สัญญาจำนองระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่มีผลผูกพันที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของผู้ร้องทั้งสี่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 146 ที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดนั้นมีเนื้อที่ 40 ไร่ 3 งาน 56 ตารางวา ในโฉนดมีชื่อจำเลยที่ 2 กับนายมายเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นส่วนของใครเท่าใด จำเลยที่ 2 ได้จำนองเฉพาะส่วนของตนไว้แก่โจทก์ ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 347/2517 ของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ว่าผู้ร้องทั้งสี่มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดพิพาทคิดเป็นเนื้อที่รวมกัน 28 ไร่ 2 งาน 48 ตารางวา เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินแปลงนี้ไว้ประมาณ 25 ไร่ ผู้ร้องทั้งสี่จึงยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดเฉพาะส่วนที่เกินจำนวน 6 ไร่ 53 ตารางวาโดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 มีกรรมสิทธิ์รวมเพียง 6 ไร่ 53 ตารางวาเท่านั้นแล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 นั้น การร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ต้องเป็นกรณีที่กล่าวอ้างว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษามิใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ยึด เมื่อผู้ร้องทั้งสี่ร้องขอต่อศาลเช่นนี้ และข้อเท็จจริงปรากฏว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นอยู่ด้วย ศาลก็ต้องยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่เสียเพราะกรรมสิทธิ์ของเจ้าของรวมแต่ละคนนั้นย่อมครอบไปเหนือทรัพย์สินทั้งหมดจนกว่าจะมีการแบ่ง ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 981/2492
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ แต่ไม่ตัดสิทธิในการเรียกขอให้แบ่งทรัพย์สินของผู้ร้องหรือเจ้าของรวมอื่นใดที่จะดำเนินต่อการบังคับคดีจากทรัพย์สินที่ยึดนั้นในทางที่ถูกต่อไป